ชะฮีดแมลค่อม เอ็กซ์ [Malcolm X]

1427

แมลค่อม เอ็กซ์ (Malcolm X) คือ ผู้นำกลุ่มเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชน และเป็นผู้นำมุสลิมแอฟริกัน-อเมริกันในสหรัฐอเมริกา เขามีอีกชื่อหนึ่งคือ ฮัจญ์ มาลิกชะบาซ(الحاجّ مالك الشباز) ผู้นำกลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิพลเรือน และประชาชนในสหรัฐอเมริกา นักเคลื่อนไหวท่านนี้ ถูกลอบสังหาร เมื่อวันที่ 21 กุมพาพันธ์ 1965  ในนครนิวยอร์ก ขณะที่กำลังเตรียมการกล่าวสุนทรพจน์บทหนึ่ง เวลาที่แมลค่อม สิ้นชีพวายปราณ คือ 15.10นาฬิกาซึ่งต่อมา ในชั่วโมงนี้ ผู้คนจะยืนสงบนิ่งเพื่อให้เกียรติ แมลค่อม เป็นเวลาหนึ่งนาที และในขณะที่เสียชีวิต เขามีอายุได้ 39 ปี

เหตุที่ชื่อ แมลค่อม เอ็กซ์ เป็นชื่อที่ผู้อ่านหลายๆท่าน มักจะเคยได้ยินคุ้นหู เป็นเพราะ “การต่อสู้ของเขา เป็นการต่อสู้ที่ไม่ธรรมดา”ที่ไม่ธรรมดา เพราะมันคือ “การต่อสู้กับความอธรรมในรูปแบบของการเหยียดสีผิว”แล้วมันไม่ธรรมดาอย่างไร การต่อสู้เรื่องการเหยียดผิว ก็เคลื่อนไหวกันทั่วโลกไม่ใช่หรือ ? แน่นอน ถ้าในยุคนี้ การเหยียดผิว คงฟังดูเป็นเรื่องน่ารังเกียจ และเป็นค่านิยมที่มิชอบ ด้วยเหตุผลร้อยแปดประการถ้าใครพูดว่า มนุษย์เราไม่ควรแบ่งชนชั้น และศักดิ์ศรีของความเป็นคนด้วยการดูว่า สีผิวของใครขาวกว่า หรือ ดำกว่าจะมีคนเห็นด้วย อย่างน้อยก็ต้องมีคนพร้อมที่จะสนับสนุนแนวคิดนี้ แต่ถ้าย้อนกลับไป 50-60 ปีก่อนในสหรัฐฯ การต่อสู้ในเรื่องนี้นับว่ายากลำบากยิ่งกว่าการรบกันในสมรภูมิเสียอีก และหากจะวิเคราะห์ จะมาหาคำตอบว่า ทำไมชายคนนี้ ถึงมีอิทธิพล ,เป็นที่รักของคนผิวสี และจากคนทั่วโลก จนกลายเป็นตำนานหนึ่งในประวัติศาสตร์มนุษย์ คำตอบ อยู่ใน ประวัติชีวิตของเขามนุษย์อีกคนบนโลกใบนี้ ที่ทุ่มเททั้งกำลัง สติปัญญา ความคิด และร่างกาย เพื่อต่อสู้ความมืดมนหนึ่งของมนุษย์ให้อันตรธานหายไป

กำเนิดแมลค่อม X

แมลค่อม เอ็กซ์ เกิดเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ.1925 ในรัฐเนบราสก้า มีชื่อจริงว่า แมลค่อม ลิตเติล( Malcolm Little)มีมารดาชื่อ ลูอิส ลิตเติล และบิดา ชื่อ รีเวอเร็นด์เอิร์ล ลิตเติล ผู้มีความสูงสองเมตร ร่างกายกำยำ เป็นนักเทศท่านหนึ่ง บิดาของแมลค่อม เป็นบุคคลอีกท่านที่พยายามอย่างยากเย็นเพื่อเรียกร้องสิทธิให้แก่ประชาชนชาวผิวสี ซึ่งภายหลังจากทั้งคู่ให้กำเนิดแมลค่อม ทั้งสองได้ตัดสินใจ ย้ายไปอยู่เมือง มิลวอกี(Milwaukee) เมืองใหญ่ที่สุดในรัฐวิสคอนซิน แต่อยู่ได้ไม่นานก็ต้องย้ายไปเมือง แลนซิง(Lansing) รัฐ มิชิแกน ในช่วงเวลานั้นเอง แมลค่อม ที่มีอายุยังไม่ถึง สี่ปี ก็ได้เห็นภาพความรุนแรงต่อหน้าของเขา ด้วยสายตาของตนเอง คนผิวขาวกลุ่มหนึ่งรวมตัวกัน เผาบ้านของครอบครัวลิตเติล จนมอดไหม้มอบสถานะใหม่ให้ครอบครัวลิตเติล กลายเป็นครอบครัวที่ไร้บ้าน

เวลาผ่านไป แมลค่อมในวัยหกปี ก็ต้องสูญเสียบิดาของตนเอง วันหนึ่งบิดาของแมลค่อม ทะเลาะกับ ลูอิซ ผู้เป็นมารดา เขาออกจากบ้านด้วยความโกรธ และหายตัวไป แต่การหายไปครั้งนี้ เป็นการจากไปแบบที่ไม่หวนคืนกลับ เอิร์ลไม่กลับบ้านมาอีกเลย จนเวลาผ่านไปได้สองปี ก็มีผู้พบร่างของชายคนหนึ่งที่มีลักษณะคล้าย คุณลิตเติล ถูกพบอยู่ข้างๆทางรถไฟ อยู่บริเวณใกล้รถทุกขยะแห่งหนึ่ง

หลังจากการตายของบิดา แมลค่อม และพี่น้องของเขา ก็เริ่มออกหางานทำ เช่นการ ล่ากระต่าย เพื่อช่วยแม่ที่ยังมีชีวิตอยู่  แมลค่อมซึ่งมีนิสัยอยากศึกษา และผจญกับโลก ก็ออกจากบ้านในเวลาต่อมา เพลิงแห่งปรารถนาลุกโชติในใจเขา ความรู้สึกในการใช้ความรุนแรงได้เติบโตในหัวใจของเขา มันได้ชักนำเขาสู่การเป็นขโมย เขาเริ่มขโมยของชิ้นเล็ก ชิ้นน้อยในร้านค้า แต่ทำได้ไม่นาน เจ้าหน้าที่ก็รู้ข่าว พวกเขาจึงพากันไปก่นด่า ลูอิซผู้เป็นมารดา ที่ไม่สามารถดูแลลูกของตนเองได้ ลูอิซ ถูกดดันอย่างหนัก ถึงขั้นครอบครัวต้องร้าวฉาน จนผู้เป็นมารดาต้องตัดสินใจฝากลูกๆของตนให้เป็นภาระของผู้อื่น

แผลใจทำให้ มารดาของแมลค่อม ล้มป่วย เธอมีอาการตื่นตระหนก หวาดระแวง และซึมเศร้า ลูอิซถูกส่งไปโรงพยาบาลบำบัดจิต ซึ่งสุดท้ายเธอถูกส่งไปสถานบำบัดจิตแห่งหนึ่ง ในเมือง Kalamazoo County เมืองหนึ่งในรัฐมิชิแกน เธออยู่ที่นั่นเป็นเวลาถึง 26 ปี จนกระทั่งลูกๆของเธอ พาตัวเธอออกมาสู่โลกภายนอกอีกครั้ง

แมลค่อม ในเรือนจำ

หลังจากที่แมลค่อมกลับจากบอสตัน เขาพยายามขายนาฬิกาเรือนหนึ่งที่ขโมยมาให้ร้านขายเพชร แต่ก็ต้องเจอกับตำรวจ เจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจค้นบ้านของแมลค่อม ก็พบข้าวของที่ขโมยมามากมาย โดยข้อหาขโมยในยุคนั้น คือ โทษจำคุก 2 ปี แต่เพราะเขาได้ขอให้หญิงสาวผิวขาว ร่วมมือกันกับเขา ทางศาลจึงสั่งจำคุกเขาเป็นเวลา 10 ปี

ในปี 1947 แมลค่อม ในวัย 20  ปี ก็ต้องไปอยู่ในบ้านหลังใหม่ที่เรียกว่า”คุก” เขาได้รับฉายาใหม่ในสถานที่แห่งนี้ว่า “ซาตาน” เพราะการแย้งในเรื่องศาสนา ในที่แห่งนี้เอง เขาได้รู้จักกับ บีมบี โจรรุ่นพี่ผิวดำ ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของนักโทษ ว่ากันว่า บีมบีถูกเปรียบให้เป็น”ห้องสมุดเดินได้ ที่ใครๆต่างก็พากันมาถามหาความรู้จากเขา นักโทษมากมายนั่งรายล้อมรอบเขาคนนี้ ฟังสิ่งที่เขาพูด ความน่านับถือของชายคนนี้ส่งผลต่อแมลค่อมด้วยเช่นเดียวกันบีมบี ถูกเปรียบเหมือนเทวา ขณะที่แมลค่อม ถูกเปรียบดั่ง ซาตาน

เมื่อทั้งสองได้รู้จักกัน เขาได้เสนอให้แมลค่อม เริ่มต้นศึกษาหาความรู้ตั้งแต่อยู่ในคุก ให้ใช้ประโยชน์จากห้องสมุดคุก อันที่จริงแล้ว แมลค่อมเอง ก็ปล่อยละเลยเรื่องการเรียนในสมัยที่ตนเคยศึกษาอยู่ที่มิชิแกน ตั้งแต่ยังเด็ก เขาจึงไม่สามารถอ่านจดหมายที่มีคนส่งมาได้ แต่อย่างที่นักปราชญ์ได้ว่าไว้”ไม่มีคำว่าสายไปสำหรับการเรียนรู้”แมลค่อมเริ่มต้นฝึกอ่าน-เขียนใหม่อีกครั้งเป็นเวลา 1 ปี เขาเป็นหนอนหนังสืออันดับต้นของเรือนจำ หนังสือเล่มแล้ว เล่มเล่าถูกหยิบไป และวางกลับคืนใหม่ วันเวลาผ่านไป แมลค่อมได้เรียนรู้สิ่งต่างๆอย่างมากมาย จนกระทั่งวันหนึ่ง แมลค่อมได้รับจดหมายจาก ฟีลเบิร์ต พี่ชายของเขา ในจดหมายเขียนว่า “ได้ค้นพบศาสนาที่แท้จริงของคนผิวดำแล้ว และได้เข้าร่วมกับ องค์กรหนึ่งชื่อว่า “อุมมัตอิสลาม” แมลค่อมได้อ่าน เขารู้สึกไม่พอใจเป็นการใหญ่ เขาเขียนตอบกลับพี่ชาย ด้วยถ้อยคำที่รุนแรง ต่อมา น้องชายอีกคน ชื่อ เรโนลด์ก็ส่งจดหมายมาหาเขาอีก คราวนี้ในจดหมายบอกไม่ให้แมลค่อมกินเนื้อสุกรอีกต่อไป อย่าสูบบุหรี่ แล้วเราจะบอกทางทำให้พี่เป็นอิสระจากคุก จดหมายฉบับนี้ทำให้แมลค่อม ต้องฉุกคิด “การไม่กินเนื้อหมู จะทำให้เขาเป็นอิสระจากคุกได้อย่างไร ? กับการไม่สูบบุหรี่สำหรับเขาไม่ใช่เรื่องยาก ที่ผ่านมา เขาสูบเพราะความเคยชิน บุหรี่ซองสุดท้ายถูกจุด และหลังจากนั้น เขาก็ไม่เคยแตะมันอีก วันต่อมา อาหารเที่ยงเป็นเนื้อหมู แมลค่อมไม่กินอาหารมื้อนั้น ข่าวเริ่มลือออกไปทั่วคุกว่า เขาไม่ยอมกินหมู

หลังจากนั้นไม่กี่ปี แมลค่อม ที่จำคุกอยู่ในเรือนจำแห่งหนึ่งใน ชาเลสทาวน์   ก็ถูกย้ายไปสถานที่กักกันแห่งหนึ่ง ซึ่งมีการเป็นอยู่ที่ดีกว่า ด้วยความพยายามของพี่สาวของเขา ในที่แห่งนี้ นักโทษห้าคน จะอยู่ในบ้านหนึ่งหลัง ในครั้งนี้ เรโนลด์ได้พบเจอกับแมลค่อมตัวเป็นๆ เป็นครั้งแรก เรโนลด์พูดกับแมลค่อม ว่า พี่คิดว่าใครกันคือผู้ที่รู้ทุกสิ่ง ?ในตอนนั้น เรโนลด์ ถูกคนๆหนึ่งหลอก โดยอ้างตัวเป็นศาสดา แต่แม้ว่าเรื่องจะมีที่มาอย่างไร แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่แมลค่อม ได้ยินคำว่า “อัลลอฮ” เป็นครั้งแรก เรโนลด์ สนทนาต่อกับพี่ชาย เขาบอกว่า พระองค์มีความรู้ครอบคลุมทั้ง 360 องศา และมีความรู้อย่างสมบูรณ์ และซาตาน ก็พยายามอย่างสุดกำลังที่จะทำการล่อลวงมนุษย์

เรโนลด์มักกล่าวอยู่เสมอว่า พระเจ้ามาอเมริกาแล้ว และพระองค์ได้สำแดงตนในรูปลักษณ์ของมนุษย์คนหนี่ง นาม อาลี จา มูฮัมมัด(บ้างอ่านอิไลจา) และได้กล่าวกับเราว่า “ยุคการปกครองของซาตาน จะสิ้นสุดลงแล้วหลังจากนี้” ในช่วงนั้น พี่น้องของแมลค่อม ทั้งหญิง และชาย ต่างพากันเข้าร่วมกลุ่ม”อุมมัตอิสลาม”กันหมดทุกคน ทุกวัน มักจะมีจดหมายมาถึง แมลค่อม ประมาณ 2 ฉบับ เขียนว่า พวกเขาจะขอดุอา ให้แมลค่อมมาเข้าร่วมกับองค์กรนี้

ทางด้านแมลค่อม ที่อยู่ในคุก ก็กำลังคิดแต่เรื่อง อาลีจามูฮัมมัด  จดหมายทยอยส่งมาหาเขาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแต่ละฉบับ ก็มีเนื้อหาแตกต่างกัน ทั้งความเชื่อ แนวคิดของผู้นำของพวกเขา หลักการ และอุดมการณ์ของอาลีจา ถูกส่งมาหาแมลค่อมอย่างไม่ขาดสาย ซึ่งหนึ่งในหลักการนั้น คือ “มนุษย์ยุคแรกที่สรรค์สร้างวัฒนธรรม คือ คนผิวสีดำ และวัฒนธรรมแรกเกิดขึ้นในแอฟริกา แล้วหลังจากนั้น ลูกหลานของมนุษย์ก็สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษกลุ่มนี้ ส่วนคนผิวขาวนั้น มีความชั่วบริสุทธิ์ ฝังอยู่ในตัวตนของพวกเขา พวกเขาได้เดินทางไปแอฟริกา และจับตัวคนแอฟริกากว่าล้านคนส่งลงเรือ และนำมาเป็นทาส แยกคนแอฟริกา จากภาษา และวัฒนธรรมของพวกเขา ซึ่งปัจจุบันมีเพียงเชื้อสายคนผิวดำเท่านั้น ที่ยังคงเป็นมนุษย์ ซึ่งพวกเขาไม่รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของตนเอง” แน่นอนว่าหลักการนี่ก็เป็นการเหยียดผิวแบบเดียวกัน แต่แมลค่อมในตอนนั้น ยังไม่ได้รู้ถึงข้อนี้ และด้วยเหตุที่ชีวิตของคนผิวสี ถูกทรมานอย่างมากมาย การนำเสนอความเชื่อเช่นนี้ จึงเป็นเหมือนกับ การสร้างศักดิ์ศรีให้กับพวกเขาในเวลานั้น

เวลาต่อมาแมลค่อมตัดสินใจ เข้าร่วมกับ ชายที่พี่น้องของเขาได้ยกย่อง เขาเขียนตอบจดหมาย แนะนำตนเองให้อาลีจา รู้จัก และเขียนขอขมา ถึงสิ่งแย่ๆที่ตนเองทำก่อนหน้านี้  จดหมายมาถึงมืออาลีจา เขาได้เปิดอ่าน และตอบจดหมายกลับแก่แมลค่อม ในจดหมายเขียนว่า “การจองจำคนผิวดำ คือ สัญลักษณ์ของอาชญากรรม และอาชญากรรมของสังคมผิวขาว คือ การจองจำคนผิวดำให้อยู่ในสภาพที่ด้อยโอกาส,ไร้ความรู้,ไร้การงาน และเปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นอาชญากร จงกล้าหาญเถิด” จดหมายถูกส่งไปพร้อมกับเงินจำนวน 5 ดอลลาร์

จดหมายฉบับต่อมาที่ครอบครัวส่งให้แมลค่อม เขียนว่า” เพื่อให้จิตใจสงบ ให้ทำการนมาซ” แต่การนมาซ เป็นเรื่องยากสำหรับนักโทษที่มีปัญญาอย่างเขา เนื่องจากอวัยวะส่วนนี้ถูกใช้งานหนักเพื่อใช้ในการขโมย แต่เวลาผ่านไปหนึ่งอาทิตย์เขาก็สามารถนมาซได้เป็นครั้งแรก เป็นภาษาอังกฤษ  แต่ก็กระทำด้วยความยากเย็น ดังที่กล่าวในตอนต้น แม้แมลค่อมจะถูกกลั่นแกล้งเพียงใด เขาก็มุ่งมันศึกษาความรู้ เขาได้เรียนรู้แล้วว่า “ไม่มีคำว่าสายสำหรับการเรียนรู้” แม้จะต้องเป็นนักโทษก็ตาม แมลค่อม ก็จัดตารางชีวิตของตนเองในคุก และใช้เวลาทั้งหมดไปกับการศึกษา และศาสนา

วันเวลาผ่านไป แมลค่อมเริ่มรู้จักกับ มุสลิมผิวสีจำนวนมาก และเขาได้กลายเป็นหนึ่งในคนกลุ่มนี้ ซึ่งเรียกตัวเองว่า “มิลลัตมุสลิม” หมายถึง ประชาชาติมุสลิม ซึ่งผู้ทรงเกียรติที่สุดในคนกลุ่มนี้คือ อาลีจา นั่นเอง เมื่อพวกเขาพูดถึงอิสลาม แมลค่อมจะฟัง เมื่อพวกเขาพูดถึง”อัลลอฮ” แมลค่อมจะใคร่ครวญ บทเรียนคำสอนมากมายซึมซับสู่หัวใจ และปัญญาของแมลค่อม เช่น ความเป็นเอกภาพ ความเป็นพี่น้อง ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไป จนกระทั่งวันหนึ่ง แมลคอมก็พบว่า อิสลามคือ ศาสนาที่ประเสริฐที่สุด ดีที่สุด สำหรับมนุษย์ เป็นศาสนาที่ให้คุณค่ามนุษย์ด้วยการพิจารณาจาก ความบริสุทธิ์ และตักวา(ความยำเกรง) ไม่ใช่สีผิว

แมลค่อมได้ทำให้คุกกลายเป็นมหาวิทยาลัยสำหรับตัวเขาเอง  เนื่องจากมีหนังสือมากมายในห้องสมุดคุก ทำให้แมลค่อม เห็นโอกาสในการเปลี่ยนคุกให้กลายเป็นมหาวิทยาลัย เขาเริ่มจากพจนานุกรม ทุกคนเขาจะคัดลอกสำเนาด้วยลายมือของตนเอง ในห้องขังเล็กๆ เขาเริ่มคัดลายมือ และหลังจากหลับนอน ก็เริ่มเรียนรู้คำๆใหม่ๆ เขาเริ่มจมสู่ถ้อยคำมากมาย ที่ตนได้เรียนรู้ ใช้เวลาอยู่กับตำรับตำราจนกระทั่งได้ยินเสียงผู้คุม จึงกลับขึ้นเตียงของตนเองอย่างรวดเร็ว อาจจะพูดได้ว่า แมลค่อม อ่านหนังสือทั้งหมดในเรือนจำ เขาได้เรียนรู้วิชาปรัชญา และผลงานของนักปราชญ์คนสำคัญมากมาย ในตอนนี้แมลค่อมเป็นผู้หนึ่งที่สนับสนุนองค์กร อุมมัตอิสลาม และอาลีจา ถ้าหากเขาพบเจอใครที่น่าสนใจ เขาจะไม่รีบร้อน และจะเข้าร่วมเสวนาประจำสัปดาห์ นั่งถกเถียง และโต้วาทีกับคนใหม่ๆที่เขารู้จัก

ครั้งหนึ่งเขาได้โต้วาทีกับบาทหลวงผิวขาวคนหนึ่ง เขาเผชิญกับข้อโต้แย้งที่ว่า พระเยซู หรือ มะซีฮ์ เป็นชาวยิว ไม่ใช่คนผิวดำ ไม่ใช่คนผิวขาว ครั้งนั้นแมลค่อมยอมรับ ต่อมาเขาเขียนจดหมายถึงเพื่อนในวงการเก่า ให้เข้าร่วมกลุ่ม อุมมัตอิสลาม และอีกส่วนหนึ่ง แมลค่อมก็เขียนจดหมายส่งไปว่า ผู้ว่ารัฐ บรรยายถึงความสิ่งที่คนผิวขาวกระทำต่อคนผิวดำ ชีวิตในคุกของเขาดำเนินไปแบบนี้ จนกระทั่งปี 1952 แมลค่อมถูกปล่อยเป็นอิสระ ในวัย 27 ปี

การเปลี่ยนนามสกุลเป็น X

หลังจากได้รับอิสระ แมลค่อมที่หันมานับถือศาสนาอิสลาม ได้เปลี่ยนนามสกุล จาก ลิตเติล เป็น เอ็กซ์X  คำๆนี้ สื่อความหมายถึงครอบครัวของชาวแอฟริกันอเมริกันที่แท้จริงทุกคน เพราะ X หมายถึง ไม่ทราบที่มา หรือ ไม่รู้ว่าบรรพบุรุษของพวกเขาเป็นใคร เขาได้เขียนชื่อนี้บนงานเขียน และทุกเวทีที่ได้ไป เพื่อเน้นถึงอัตลักษณ์ความเป็นคนผิวดำในสหรัฐอเมริกา

ตำรวจ กับ แมลค่อม เอ็กซ์

ความนิยมของกลุ่ม อุมมัตอิสลาม และแมลค่อม เอ็กซ์ แพร่หลายกันปากต่อปาก มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น คือ ชายผิวดำคนหนึ่ง ได้ถูกตำรวจสองคนเข้ารุมตี กลุ่มอุมมัตอิสลามจึงเคลื่อนไหวเพื่อประท้วงตำรวจ นักเคลื่อนไหวคนหนึ่ง ถูกตำรวจตีศีรษะด้วยไม้กระบองสั้น การกระทำครั้งนั้น ทำให้ชาวผิวสีทั้งหมดลุกฮือประท้วง และมุ่งหน้าไปยังสำนักงานตำรวจ เพื่อบังคับให้ทางตำรวจ ย้ายนักเคลื่อนไหวคนนี้ไปพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล กลุ่มอุมมัตอิสลามเคลื่อนตัวไปยังถนนสายหนึ่งที่มุ่งหน้าไปโรงพยาบาล เหล่าคนผิวดำไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน แต่ละคนพากันออกมาจาก ห้างสรรพสินค้น ร้านอาหาร และอาคารต่างๆ มารวมตัวกัน แต่ทางฝ่ายตรงข้ามก็รวมตัวกันอยู่หน้าโรงพยาบาล ทั้งสองฝ่ายจึงเผชิญหน้ากัน ทั้งสองต้องการไกล่เกลี่ยเจรจา ทางฝ่ายตำรวจ ขอให้แมลค่อม สลายการชุมนุม และทางฝ่ายแมลค่อม ก็ขอให้ตำรวจแจ้งข่าวเป็นตายร้ายดี ของนักเคลื่อนไหวที่ถูกตีศีรษะด้วยไม้กระบอง เมื่อรู้ว่าอาการของเขาดีขึ้นแล้ว แมลค่อมก็ส่งสัญญาณมือให้แยกย้าย

ในตอนนั้นเอง ประวัติของแมลค่อม กลายเป็นสิ่งที่น่าสนใจของเหล่าตำรวจ และหน่วยงานความมั่นคงของสหรัฐ แมลค่อมซึ่งในตอรนั้น ได้กลายเป็น นักปราศรัยเบอร์หนึ่งในเขตดีทรอยของกลุ่มอุมมัตอิสลาม เดินทางไปตามถนนและซอกซอยเพื่อดึงคนผิวดำให้มาเข้าร่วมกับกลุ่ม อุมมัตอิสลาม ต่อมาเขาถูกตั้งให้เป็นประธานขององค์กรในสาขานิวยอร์ก เมืองที่มีคนผิวสีมากกว่าล้านคน

คำปราศรัยของเขาอันน่าดึงดูดของเขาได้ส่งผลกระทบอย่างน่าแปลกใจ ทุกที่ๆเขาไป จะมีคนผิวสีนับร้อยคนมาเข้าร่วมกับเขา ตลอดระยะเวลา 10 ปี ทั้งก่อน และหลังแยกตัวจากองค์กรแมลค่อมสามารถเชิญชวนผู้คนให้มากเข้าร่วมเป็นสมาชิกเป็นจำนวน 3 หมื่นคน

ในการปราศรัยของเขาไม่ได้มีแต่คนผิวสี มีคนผิวขาวเข้ามาร่วมฟังด้วยเช่นกัน ซึ่งมีเพียงนักศึกษา และเจ้าหน้าที่ FBI เท่านั้น ที่ปรากฏตัวในเวทีปราศรัยของเขาเสมอ หลังจากนั้น รายการทีวีรายการหนึ่ง ถูกจัดขึ้น ผลิตโดยไมค์วอเลส รายการนี้ฉายภาพให้เห็นถึงความรุนแรง และความร้ายกาจของ แมลค่อม และสมาชิกขององค์กร พวกเขาถูกรู้จักในนาม คนผิวดำที่ระเบิดโทสะ ,คนผิวดำที่เต็มไปด้วยความโกรธ และความเกลียด พวกสาปแช่งคนผิวขาว รายการทีวีชุดนี้ พยายามสะท้อนให้เห็นว่า พวกเขาอันตรายที่สุด ในยุคนี้ และก็เพราะรายการนี้ แมลค่อม จึงโด่งดังยิ่งขึ้นไปอีก  นักข่าวพากันตามหาตัวเพื่อจะสัมภาษณ์เขา ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน มักมีคนถามว่า ทำไมถึงเผยแพร่ความเกลียดชังที่มีต่อคนขาว ?

ต่อมา มหาลัยฯฮาร์วาร์ด ได้เชิญแมลค่อม ไปปราศรัย ในฐานะนักบรรยาย การบรรยายของเขาดึงดูดผู้คนมากมายกว่าเดิม ความนิยมชมชอบที่ผู้คนมีต่อแมลค่อม ทำให้ เหล่าผู้นำแห่งวอชิงตัน ต้องฉงน และการเคลื่อนไหวของกลุ่ม อุมมัตอิสลาม ก็กลายเป็นที่จับตามองของ เอฟบีไอ มากกว่าเก่า เกือบทุกสำนักงานขององค์กร มีไมโครโฟนแอบติดไว้ เพื่อดักฟังโทรศัพท์ และการสนทนาขององค์กรนี้

แมลค่อม และเบตตี้

แมลค่อมซึ่งในตอนนั้น เป็นชายหนุ่มสูงสองเมตร ร่างใหญ่ และมีรูปร่างแบบนักกีฬา ได้รู้จักกับเบตตี้ เธอเป็นหญิงสาวที่นั่งอยู่แถวหน้าสุดทุกครั้งที่มีเวทีปราศัยของแมลค่อมซึ่งต่อมาทั้งสองก็ได้รู้จักกัน ทางเบตตี้ที่พ่อแม่ไม่ใช่มุสลิม ต้องเผชิญกับปัญหามากมายเพราะการเข้าร่วมกลุ่ม อุมมัตอิสลามของเธอ แต่สุดท้ายทั้งสองก็จัดพิธีแต่งงานในแบบที่เรียบง่าย และทั้งคู่ได้ให้กำเนิดบุตรเป็น หญิงหกคน ซึ่งแมลค่อมทันได้เห็นลูกสาวเพียงสี่คน

แยกตัวออกจากกลุ่มอุมมัตอิสลาม

แมลค่อม เป็นตัวแทนของ อาลีจา ระยะเวลาหนึ่ง เขาคือบุรุษหมายเลขสองขององค์กร และอาลีจาเอง ก็ชื่นชมยกย่องเขาอยู่บ่อยครั้ง แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ต้องสิ้นสุดลง มีข่าวลือเกี่ยวกับอาลีจาว่า เขาแอบมีความสัมพันธ์ลับๆกับผู้เยาว์ ทางด้านแมลค่อมไม่ต้องการให้เรื่องอื้อฉาวแบบนี้เกิดขึ้น และไม่เชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นจึงตรงเข้าไปหาหญิงวัยรุ่นกลุ่มหนึ่ง และก็ได้รู้ความจริง เขารอให้อาลีจา สำนึกผิด แต่อาลีจา ในตอนนั้น กำลังวุ่นอยู่กับการปกปิดความลับ และทำให้เรื่องของตัวเองเงียบลง และในตอนนั้นเองจู่ๆ เขาก็เสนอความคิดให้ลอบสังหารเคเนดี้ และให้กลุ่มหยุดเคลื่อนไหวเป็นเวลาสามเดือน หลังจากนั้น การทำงานให้องค์กรของแมลค่อม ก็สิ้นสุดลง เขาไม่แปลกใจเลย หากองค์กรจะสั่งประหารเขาในเวลาต่อมา และก็มีนักฆ่าถูกส่งมาจริงๆ ครั้งแรกนั้นนักฆ่าตั้งใจจะลอบวางระเบิดในรถของแมลค่อม แต่เพราะรู้สึกผิด จึงเข้าไปสารภาพกับแมลค่อม และอธิบายว่า ใบสั่งฆ่านี้ เพราะ แมลค่อม แยกตัวออกจากองค์กร  พอเขาได้ยินดังนั้น ก็ตัดสินใจตั้งองค์กรขึ้นมาสององค์กร มีชื่อว่า มัสยิดมุสลิม และ องค์กรเอกภาพแอฟริกัน-อเมริกัน ความทุ่มเทของเขา ทำให้มีมุสลิมเพิ่มขึ้นจำนวน 500 คน ในปี 1952 ในปี 1962 มีจำนวน 3 หมื่นคน หลังจากตั้งองค์กร เขาก็ได้มีโอกาส รู้จักกับเจ้าหน้าที่สนามบินเมืองญิดดะฮ์ เขาได้เรียนรู้วิธีอ่านภาษาอาหรับ วิธีนมาซที่ถูกต้อง ในครั้งนี้เขาได้กลายเป็นมุสลิมอย่างเต็มตัว

การเดินทางของแมลค่อม

ในความเป็นจริงของการยอมจำนนให้กับ สัจธรรม คือ สิ่งที่ทำให้คนตาสีฟ้า กับ คนตาสีดำ กลายเป็นพี่น้องกันได้ และการยอมรับสัจธรรมนี้เองที่ทำให้ผิวขาว ไม่ได้ร้ายมาแต่เกิด และผิวดำก็ไม่ได้ดีมาแต่ก่อน เพราะอิสลามไม่เคยวัดคุณค่าของคนที่สีผิว การเดินทางได้สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตของเขา การศึกษาอิสลามอีกครั้ง ในการเดินทางนี้ ได้สร้างตัวตนใหม่ให้กับเขา เขาได้ชื่อใหม่ว่า ฮัจญ์ มาลิกอัชชะบาซ หลังจากประกอบพิธีฮัจญ์  ต่อมาเขาได้เดินทางไปประเทศไนจีเรีย กานา และหัวใจของแอฟริกา ไม่มีที่ไหนที่จะต้อนรับเขาได้ดียิ่งกว่าแอฟริกา ผู้คนให้ฉายาเขาว่า “อัมวาเละ” หมายถึง”บุตรที่กลับสู่คืนบ้านของตนเอง”เขาได้เห็นประเทศที่บริหารด้วยคนผิวสีเดียวกันเป็นครั้งแรก และเมื่อเขาเดินทางกลับอเมริกา เขาก็ไม่ยอมรับความเชื่อใดๆของกลุ่ม อุมมัตอิสลามอีกเลย ทั้งเรื่องพระเจ้าจำแลง เรื่องคนดำดีกว่าคนขาว และเรื่องอื่นๆ  ที่สนามบิน นักข่าวนับร้อยต่างรอเพื่อที่จะสัมภาษณ์และถ่ายรูปเขา ซึ่งแมลค่อมในตอนนี้ ไม่ใช่คนสาปแช่งผิวขาวอีกต่อไป ความคิดของเขาในครั้งนี้ จะขาว หรือ ดำ ก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน สูงหรือต่ำขึ้นอยู่กับความยำเกรง

การลอบสังหาร แมลคอม เอ็กซ์

การกลับมาครั้งนี้ มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย แนวคิดในคำพูดของเขาต่างไปจากเดิม แต่กระนั้น FBI ก็ใส่ชื่อเขาในบัญชีของคนต้องฆ่า และในวันที่ 14 กุมพา1965 มีคนลอบวางระเบิดในที่พักของแมลค่อม แต่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ต่อมา 7 วันหลังจากนัน21 กุมพาฯ1965 ขณะที่แมลคอมกำลังปราศรัย ก็มีชายพกอาวุธสามคน กระหน่ำยิงเขาในระยะเผาขน  แมลคอมเสียชีวิตขณะถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลในเวลาต่อมา กระสุนฝังอยู่ในร่างแมลค่อม จำนวน 25 นัด แมลค่อม เสียชีวิตในวัย 39 ปี เขาถูกสังเวยให้กับความรุนแรง มีผู้เข้าร่วมงานศพนับพันคน

ผู้สังหารแมลค่อมในครั้งนั้น คือ ทัลมาญไฮร์ , นอร์แมน ,และโทมัส ทั้งสามได้รับการแจ้งสถานะโดยกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐ ในนามของ สมาชิกอุมมัตอิสลาม และการลอบสังหารครั้งนี้ ทั้งสามถูกพิพากษาให้ประหารชีวิตในปีถัดมา แต่แล้ว 44 ปีต่อมา มีชายคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น เขาให้การยอมรับว่า มีส่วนในการลอบสังหาร แมลค่อม เอ็กซ์

ปัจจุบัน แมลค่อม เอ็กซ์ ถูกรู้จักในนามของวรีบุรุษ ผู้ต่อสู้กับความอธรรมแห่งการเหยียดผิวประวัติและชีวิตของชายผู้นี้ ถูกนำมาตีพิมพ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ภาพยนตร์ถูกสร้างขึ้นเพื่อบอกเล่าเรื่องราวการต่อสู้ของเขา นักศึกษามหาวิทยาลัย ต้องค้นคว้าวิธีการ และอุดมการณ์ของเขาซัยยิดอาลี คาเมเนอีย์ ได้ขนานนามแมลคอม เอ็กซ์ ในนามชะฮีด ซึ่งหมายถึง ผู้ที่สละชีวิตตนเองในหนทางของพระองค์อัลลอฮ (ซบ)และนี่คือเรื่องราวของชายผู้ต่อสู้กับความอธรรมแห่งการเหยียดสีผิว….