เกือบสองปีที่อิสราเอลดำเนิน “สงครามหลายสมรภูมิ” ตามคำประกาศของนายกฯ เบนจามิน เนทันยาฮู ผู้ย้ำว่าเขากำลังทำ “ภารกิจประวัติศาสตร์และจิตวิญญาณ” เพื่อสานฝันดินแดนพันธสัญญาและ “อิสราเอลอันยิ่งใหญ่” แต่แทนที่จะนำมาซึ่งชัยชนะ สงครามกลับกัดกร่อนการสนับสนุนนานาชาติ และเร่งกระแสการยอมรับปาเลสไตน์ทั่วโลก
เจ็ดสมรภูมิของสงคราม
เพียงสองวันหลังเหตุการณ์ พายุอัลอักซอ เมื่อ 9 ตุลาคม 2023 เนทันยาฮูประกาศว่า การตอบโต้ของอิสราเอลจะ “เปลี่ยนโฉมตะวันออกกลาง” ตั้งแต่นั้นชัดเจนว่าสงครามจะไม่จำกัดอยู่แค่กาซา แต่จะขยายสู่เลบานอน ซีเรีย อิรัก เยเมน เวสต์แบงก์ และอิหร่าน อิสราเอลพยายามวาดภาพทั้งหมดว่าเป็นการสู้กับ “แกนต้านทานที่นำโดยอิหร่าน”
กลยุทธ์หลักของเทลอาวีฟมีสองด้าน คือ โจมตีตรงเพื่อทำลายขีดความสามารถของฝ่ายต้าน และบังคับรัฐรอบข้างให้ยอมจำนน แม้ซีเรียที่เปิดท่าทีเป็นมิตร ก็ยังถูกโจมตีซ้ำและถูกยึดครองบางส่วน ล่าสุดการถล่มกรุงโดฮาเมื่อ 9 กันยายนก็ส่งสัญญาณสองชั้น ทั้งการไล่ล่าผู้นำฮามาส และการเตือนพันธมิตรสหรัฐฯ ในภูมิภาคว่าความสัมพันธ์กับอิสราเอลตั้งอยู่บนความหวาดกลัวมากกว่าผลประโยชน์ร่วม
ความสำเร็จเชิงยุทธศาสตร์ที่ไม่เกิดขึ้น
หากนิยามความสำเร็จเชิงยุทธศาสตร์ว่าเป็นการเปลี่ยนดุลอำนาจระยะยาว เสริมความมั่นคง และขยายอิทธิพลแล้ว อิสราเอลยังไม่ประสบผลใด ๆ ในกาซาไม่อาจกำจัดฮามาสได้ ในเลบานอนไม่อาจปลดอาวุธฮิซบุลเลาะห์ ในอิหร่านล้มเหลวทั้งการกดดันระบอบและหยุดการสนับสนุนขบวนการต้านทาน ส่วนเยเมนก็ยังคงหนุนกาซาอย่างเปิดเผย สิ่งที่ได้จึงเป็นเพียง “ชัยชนะเชิงยุทธวิธีชั่วคราว” ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงระยะยาว
อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงอย่างอามี อายาลอน เตือนว่าเส้นทางปัจจุบันจะบ่อนทำลายสนธิสัญญาสันติภาพกับอียิปต์และจอร์แดน ขยายความแตกแยกภายใน ทำให้อิสราเอลโดดเดี่ยว และเร่งความรุนแรงแบบสุดโต่งทั่วภูมิภาค เขาสรุปว่าอำนาจการป้องปรามทางทหารยังอยู่ แต่ “พลังทหารไม่อาจล้มเครือข่ายพันธมิตรของอิหร่าน หรือสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนได้”
การสูญเสียภาพลักษณ์และความชอบธรรม
ความพยายามโยนความผิดด้านมนุษยธรรมให้ฮามาสล้มเหลว เมื่ออิสราเอลถูกมองว่าเป็นต้นเหตุโดยตรงต่อวิกฤติความอดอยากในกาซา การสำรวจโดยกระทรวงการต่างประเทศอิสราเอลพบว่าชาวยุโรปส่วนใหญ่เชื่อว่าอิสราเอล “ก่ออาชญากรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และการแบ่งแยกสีผิว” ขณะที่โพลในสหรัฐฯ ระบุว่าผู้สนับสนุนปาเลสไตน์ (37%) แซงผู้หนุนอิสราเอล (36%)
ปี 2024 มี 9 ประเทศใหม่ยอมรับปาเลสไตน์ ได้แก่ บาร์เบโดส จาไมกา ตรินิแดดและโตเบโก บาฮามาส นอร์เวย์ ไอร์แลนด์ สเปน สโลวีเนีย และอาร์เมเนีย ยอดรวมเพิ่มเป็น 147 ประเทศ หรือเกือบสามในสี่ของสมาชิกสหประชาชาติ ขณะที่ฝรั่งเศส อังกฤษ และแคนาดา (พันธมิตรใกล้ชิดของสหรัฐฯ) ก็ประกาศเตรียมเดินหน้ารับรองเช่นกัน
หลักนิยมการรบใหม่
หลัง 7 ตุลาคม อิสราเอลละทิ้งหลักนิยมของเบนกูเรียน ที่เน้นสงครามสายฟ้าแลบและการกู้ตัวประกัน ปรับสู่การยอมรับความสูญเสียมากขึ้น แต่นักยุทธศาสตร์บางรายเตือนว่าอาจเป็นการก้าวเกินขีดจำกัดด้านภูมิศาสตร์และกำลังคน และอาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ “จุดจบ” แทนที่จะเป็นชัยชนะ
อ้างอิง






