อิทธิพลตะวันตกลดลง เมื่อซาอุฯ–ปากีสถานจับมือด้านความมั่นคง

เมื่อวันที่ 17 กันยายน ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียปู “พรมสีม่วง” ต้อนรับนายกรัฐมนตรี “เชห์บาซ ชารีฟ” ของปากีสถาน การให้เกียรติระดับสูงเช่นนี้เคยสงวนไว้สำหรับผู้นำมหาอำนาจ เช่น ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เท่านั้น

แต่การปรากฏตัวร่วมของ “จอมพลอาซิม มูนีร์” ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของปากีสถาน ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่า ริยาดให้ความสำคัญกับข้อตกลงด้านกลาโหมกับประเทศที่แม้เศรษฐกิจเปราะบาง แต่ยังมีอำนาจทางทหารและ “อาวุธนิวเคลียร์” อยู่ในมือ

เนื้อหาสำคัญของข้อตกลง: ร่มนิวเคลียร์เหนือริยาด?

หัวใจหลักของการเยือนครั้งนี้คือการลงนาม “ข้อตกลงป้องกันร่วมเชิงยุทธศาสตร์” (SMDA) ซึ่งระบุว่า หากประเทศใดถูกรุกราน จะถือว่าเป็นการโจมตีทั้งสองฝ่าย

รายงานจากเจ้าหน้าที่ซาอุฯ ที่กล่าวกับรอยเตอร์สระบุว่า ครอบคลุม “ทุกมิติทางทหาร” จนเกิดการคาดเดาว่าอาจรวมถึง “ร่มนิวเคลียร์” จากปากีสถาน ซึ่งหากจริง จะเป็นการพลิกสมดุลอำนาจทางทหารในเอเชียตะวันตก

การที่ 81% ของการนำเข้าอาวุธปากีสถานมาจากจีน ยังชี้ให้เห็นว่า ซาอุฯ กำลังขยับเข้าสู่วงโคจรอุตสาหกรรมการทหารจีน ไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือโดยปริยายก็ตาม จากที่ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียพึ่งพาการรับประกันอาวุธ การฝึกอบรม และความมั่นคงจากสหรัฐฯ มานานแล้ว

ข้อตกลงนี้เกิดขึ้นเพียงสองวันหลังอิสราเอลโจมตีกรุงโดฮา กาตาร์ โดยสหรัฐฯ ไม่ตอบสนองอย่างจริงจัง ตอกย้ำภาพลักษณ์ว่า “หลักประกันความมั่นคงแบบตะวันตก” ไม่อาจเชื่อถือได้

มูชาฮิด ฮุสเซน ไซเอ็ด อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงข้อมูลข่าวสารและประธานคณะกรรมาธิการกลาโหมวุฒิสภาปากีสถาน เปิดเผยกับ The Cradle ว่า สหรัฐฯ ได้หันเหออกจากพันธมิตรอาหรับและหันไปสนใจเทลอาวีฟ ส่งผลให้ภูมิภาคนี้ผิดหวังและหันไปหาทางเลือกอื่นมากขึ้น

เส้นทางสู่ “นาโต้โลกมุสลิม”?

นายกรัฐมนตรีอิรัก มุฮัมหมัด ชิอา อัล-ซุดานี เรียกร้องให้จัดตั้งพันธมิตรทางทหารมุสลิมแบบนาโต้ เพื่อตอบโต้การรุกรานของอิสราเอลต่อโดฮา ข้อเสนอของเขาสะท้อนถึงความพยายามก่อนหน้านี้ของอียิปต์ที่จะฟื้นฟูกองกำลังป้องกันร่วมอาหรับภายใต้สนธิสัญญาปี 1950 ซึ่งเป็นโครงการริเริ่มที่ถูกขัดขวางโดย กาตาร์และสหรัฐอาหรับเอ มิเรตส์ โดยมีรายงานว่าอยู่ภายใต้แรงกดดันจากสหรัฐฯ

เสียงเรียกร้องนี้สอดคล้องกับปากีสถานที่รัฐมนตรีกลาโหม “เคาะวาจา อาซิฟ” ชี้ว่า โลกมุสลิมจำเป็นต้องรวมพลังทหารเพื่อรับมือภัยร่วมกัน และเพื่อลดการพึ่งพาตะวันตก

ในการปรากฏตัวทาง Geo TV เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อาซิฟได้เน้นย้ำประเด็นที่ว่า แนวร่วมทางทหารของชาวมุสลิมที่ร่วมมือกันเป็นสิ่งจำเป็นในการแก้ไขปัญหาความมั่นคงร่วมกันและป้องกันภัยจากภายนอก

อาซิฟยังพาดพิงถึงบทบาทของสหรัฐฯ ในการสร้างความปั่นป่วนในเอเชียตะวันตก ทั้งการสนับสนุนอัลกออิดะห์ ปฏิบัติการลับของ CIA ที่นำไปสู่การย้ายถิ่นฐานของโอซามา บิน ลาเดนไปยังซูดาน และสงครามเปลี่ยนระบอบในซีเรีย ซึ่งสะท้อนการมองตะวันตกว่าเป็น “ตัวบ่อนทำลาย” มากกว่าผู้ปกป้อง

มิติทางนิวเคลียร์เป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญาหรือไม่?

มิติทางนิวเคลียร์ของข้อตกลงริยาด-อิสลามาบัดยังคงคลุมเครือ แต่มีความสำคัญอย่างยิ่ง แม้ยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการ แต่อาซิฟ ก็แย้มว่าศักยภาพทางนิวเคลียร์ของปากีสถานอาจถูกแบ่งปันกับซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงนี้

อย่างไรก็ดี มุชาฮิด ฮุสเซน ซัยยิด อดีตรัฐมนตรีและประธานคณะกรรมาธิการกลาโหมวุฒิสภาปากีสถาน ชี้ว่า “หลักคำสอนด้านนิวเคลียร์” ของปากีสถานยังคงมุ่งที่อินเดียเป็นหลัก ไม่ครอบคลุมถึงอ่าวเปอร์เซีย

กระนั้น เขาย้ำว่ากรอบความมั่นคงใหม่กำลังก่อตัวขึ้น โดยมีปากีสถานและซาอุฯ เป็นแกนสำคัญ ขณะที่ “กลุ่มอักษะอินเดีย–อิสราเอล” ที่เคยได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ กำลังอ่อนแรงลง

นิวเดลีและเทลอาวีฟเฝ้าระวัง

สื่อต่างประเทศและนักวิเคราะห์เตือนว่า ข้อตกลงซาอุฯ–ปากีสถานอาจสร้างผลสะเทือนต่ออินเดียและอิสราเอล แม้ทั้งสองฝ่ายจะยืนยันว่าไม่ใช่เป้าหมายตรง บางส่วนมองว่าแท้จริงแล้วนี่คือความพยายามของริยาดในการถ่วงดุลอิหร่านและรัฐบาลเยเมนที่นำโดยอันศอรุลลอฮ์

ดร. อับดุล ราอุฟ อิคบัล นักวิจัยอาวุโสจากสถาบัน ISSRA มหาวิทยาลัย NDU อิสลามาบัด ให้สัมภาษณ์กับ The Cradle ว่า นิวเดลีมองข้อตกลงนี้ด้วยความกังวล เพราะข้อตกลงนี้ทำให้ความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างซาอุฯ–ปากีสถานเป็นทางการ ซึ่งอาจทำให้ริยาดถูกดึงเข้าไปเกี่ยวพันกับข้อพิพาทอินเดีย–ปากีสถาน โดยเฉพาะปัญหาแคชเมียร์

เขาอธิบายว่า “นี่คืออุปสรรคต่อยุทธศาสตร์การต่างประเทศของนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี และอาจนำไปสู่การมีส่วนร่วมของซาอุฯ ในความขัดแย้งอินเดีย–ปากีสถานในอนาคต ขณะเดียวกัน การลงทุนของริยาดในท่าเรือกวาดาร์และเส้นทางเศรษฐกิจของปากีสถาน ยังท้าทายอิทธิพลของอินเดียและโครงการระดับภูมิภาคที่กำลังผลักดัน เช่น โครงการระเบียงอินเดีย-ตะวันออกกลาง-ยุโรป (IMEC)”

อิคบัลเสริมว่า การที่ซาอุฯ หันมาพึ่งพาปากีสถานสะท้อนการรวมตัวของมหาอำนาจมุสลิม และเพิ่มแรงกดดันต่ออิสราเอลทั้งในฉนวนกาซาและภูมิภาคเอเชียตะวันตก การมีปากีสถาน ซึ่งต่อต้านการขยายอิทธิพลของอิสราเอลอย่างแข็งกร้าว เข้ามามีบทบาท ย่อมทำให้เทลอาวีฟต้องปรับสมดุลทางยุทธศาสตร์ใหม่

เขาย้ำด้วยว่า ข้อตกลงนี้ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อจำกัดอิทธิพลของอิหร่าน แต่ยังสนับสนุนการปรองดองซาอุฯ–เตหะราน เนื่องจากปากีสถานยังคงรักษาความสัมพันธ์ดีกับทั้งสองฝ่าย การมีพันธมิตรกับชาตินิวเคลียร์อย่างปากีสถานจึงช่วยให้ริยาดมีอำนาจยับยั้งที่น่าเชื่อถือในยามที่หลักประกันความมั่นคงจากสหรัฐฯ อ่อนแอลง ในขณะที่ตะวันตกอาจตีความว่าเป็นความพยายามกดดันอิหร่าน โลกอาหรับกลับมองว่านี่คือการสร้างหลักประกันความมั่นคงในอ่าวเปอร์เซียโดยไม่ขึ้นกับวอชิงตัน

สำหรับอินเดีย ความกังวลยังรวมถึงความเป็นไปได้ที่เงื่อนไขลักษณะ “นาโต้” ของข้อตกลง จะทำให้ปฏิบัติการที่ยังดำเนินอยู่ เช่น ซินดูร์ ซับซ้อนขึ้น หลังการปะทะระหว่างอินเดีย–ปากีสถานเมื่อเดือนพฤษภาคม โดยเฉพาะเมื่อประเทศอ่าวรีบเข้ามาไกล่เกลี่ยเพื่อรักษาผลประโยชน์กับนิวเดลี ซึ่งทำให้ความเป็นไปได้ของการปฏิบัติการทางทหารโดยตรงยิ่งลดลง

นอกจากนี้ อินเดียยังจับตาว่า ปากีสถานอาจได้รับการเสริมศักยภาพด้านนิวเคลียร์ หากซาอุฯ ซึ่งไม่มีเทคโนโลยีดังกล่าว เข้ามาสนับสนุนเงินทุนและร่วมแบ่งปันขีดความสามารถ ซึ่งจะยิ่งทำให้สมดุลนิวเคลียร์ในภูมิภาคเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ

ระเบียบอ่าวเปอร์เซียหลังตะวันตก?

แม้เทลอาวีฟและนิวเดลียังเงียบ แต่ทั้งสองต่างจับตาผลสะเทือนจากข้อตกลงนี้อย่างใกล้ชิด ความล้มเหลวของอิสราเอลในการลอบสังหารผู้นำฮามาสในกาตาร์ และแรงกดดันจากการเผชิญหน้าที่แนวเส้นควบคุม (LoC) ของอินเดีย บ่งชี้ว่าทั้งสองประเทศตื่นตัวต่อผลลัพธ์ของการจับมือซาอุฯ–ปากีสถาน สื่ออิสราเอลถึงกับลดทอนความสำคัญของข้อตกลง โดยมองว่าเป็นเพียง “การแสดงแสนยานุภาพ” หลังริยาดไม่สามารถโน้มน้าวทรัมป์หรือเปลี่ยนท่าทีวอชิงตันในเอเชียตะวันตกได้

กรอบ “น้ำมันแลกความมั่นคง” ที่เคยเป็นรากฐานความสัมพันธ์สหรัฐฯ–ซาอุฯ กำลังกลายเป็นอดีต เมื่อพลังเศรษฐกิจของซาอุฯ ผนวกเข้ากับการหนุนของจีนต่อปากีสถาน อินเดียจึงอาจเผชิญความเปราะบางและการโดดเดี่ยวมากขึ้น

นักวิเคราะห์อินเดียอย่าง มาร์ค คินรา ผู้เชี่ยวชาญด้านปากีสถานและบาโลชิสถาน เตือนว่า นิวเดลีจะติดตามความคืบหน้าของข้อตกลงอย่างใกล้ชิด เพราะเงื่อนไขยังไม่เปิดเผย และอาจกระทบต่อการประเมินยุทธศาสตร์ ความมั่นคงทางพลังงาน และความสัมพันธ์ทางการทูตของอินเดียกับภูมิภาค

สำหรับซาอุฯ การจับมือกับชาตินิวเคลียร์อย่างปากีสถานคือการประกาศอิสรภาพจาก “หลักประกันตะวันตก” และเป็นก้าวสำคัญสู่สถาปัตยกรรมความมั่นคงใหม่ในอ่าวเปอร์เซียที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่ ระเบียบโลกพหุขั้ว ซึ่งถูกกำหนดมากขึ้นโดยความร่วมมือของโลกมุสลิมและโลกใต้ (Global South) แทนที่การกำกับจากวอชิงตัน

เขียนโดย: F.M. Shakil – นักเขียนชาวปากีสถาน ผู้เขียนบทวิเคราะห์การเมือง สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ ประจำที่ Akhbar Al-Aan ดูไบ และ Asia Times ฮ่องกง มีผลงานมากเกี่ยวกับยุทธศาสตร์จีน–ปากีสถาน โดยเฉพาะโครงการ Belt and Road Initiative (BRI)
ตีพิมพ์: The Cradle
แปล/เรียบเรียง: เอบีนิวส์ทูเดย์