วารสารสหรัฐ Wall Street Journal ได้เขียนบทความแนวโน้มอนาคตความสัมพันธ์ระหว่างอิหร่านและสหรัฐไว้ว่า เป็นสิ่งที่สงสัยกันของชาวอิหร่านถึงเจตนารมณ์หลักของสหรัฐเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่มีต่ออิหร่าน
Wall Street Journal ได้อ้างถึงการติดต่อทางโทรศัพท์ของประธานาธิบดีสหรัฐกับผู้นำคิวบาจากอดีตที่ผ่านมาและคาดคะเนถึงหนทางความเป็นไปได้ในความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและอิหร่าน
หลายครั้งหลายคราวที่ประธานาธิบดีของสองประเทศได้ติดต่อสนทนากันผ่านทางโทรศัพท์หลังจากนั้นได้เปิดสถานฑูตให้สัมภาษณ์กลางเมืองหลวง แต่ทว่าในการสัมภาษณ์ของบารัค โอบามา ในช่วงปลายปีนั้นได้ชี้ถึงจุดยืนของตนเกี่ยวกับประเทศพันธมิตรใหม่คือคิวบา ว่า ประเทศคิวบาเป็นประเทศที่ปกครองด้วยผู้ปกครองที่กดขี่ และสิทธิมนุษยชนในประเทศนี้ถูกละเมิดอย่างหนัก
นักเขียนได้วิจารณ์ว่า ตามคำพูดข้างต้นของโอบามาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของสหรัฐกับคิวบา จึงทำให้บางส่วนคิดว่า ประเทศถัดไปที่จะเป็นประเทศที่สร้างความสัมพันธ์กับสหรัฐคือ รัฐอิสลามแห่งอิหร่าน
ในย่อหน้าถัดมาเขาได้เขียนถึงหนทางถึงความเป็นไปได้ที่สองประเทศนี้จะมีความสันพันธ์กัน แต่ทว่าอิหร่านไม่เหมือนกับคิวบา ผู้นำสูงสุดของอิหร่านไม่ได้ให้ความสนใจในการสร้างความสัมพันธ์กับสหรัฐเลยแม้แต่น้อย ทำไม?
วารสาร Wall Street Journal ได้เขียนว่า การคว่ำบาตรต่างๆของสหรัฐและพันธมิตรนั้น ถือเป็นการสร้างความเสียหายแก่ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของประเทศ และเป็นการลดค่าเงินของชาวอิหร่านอย่างหนัก และการส่งออกน้ำมันลดลงครึ่งหนึ่ง ในขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่รัฐของอิหร่านจำเป็นต้องลดค่าน้ำมัน จาก $ 110 เป็น $ 60 ต่อบาร์เรล
บทสรุปจากวารสารชิ้นนี้คือ จากสภาวะข้างต้นที่ได้กล่าวมา ไม่น่าจะเป็นไปได้ว่า ผู้นำสูงสุดของรัฐอิสลามแห่งอิหร่านจะอนุญาตให้สร้างความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับสหรัฐ เพราะอยาตุลเลาะฮ์ อาลี คามาเนอี นั้นไม่ไว้วางใจถึงเจตนารมณ์ของสหรัฐ
Wall Street Journal ยังได้ชี้ถึงความขัดแย้งอย่างจริงจังระหว่างเตหะรานกับวอชิงตันอีกว่า อิหร่านและสหรัฐนั้นมีความขัดแย้งกันในประเด็นสำคัญๆในหลายเรื่อง เช่น ความขัดแย้งในประเด็นของภูมิภาคตะวันออกกลาง ในประเด็นนี้ทั้งสองมีความขัดแย้งกันในทุกอย่าง อิหร่านให้การสนับสนุนบาชัร อะซัด ประธานาธิบดีซีเรีย แต่ในขณะที่สหรัฐกำลังมองหาและให้การสนับสนุนกลุ่มขบวนการโค่นล้มรัฐบาลดามัสกัส อีกทั้งเตหะรานยังเป็นภัยคุกคามอย่างแท้จริงต่ออิสราเอลและยังให้การสนับสนุนแก่ศัตรูหลักของอิสราเอล คือ ขบวนการฮิซบุลลฮ์และฮามาส
อีกหนึ่งในปัญหาหลักที่เป็นตัวขวางกั้นในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างอิหร่านกับสหรัฐ คือ ความมั่นคงของประเทศอิรักในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Wall Street Journal ชี้ว่า อิหร่านกำลังพยายามลดบทบาทของสหรัฐและพยายามลดอำนาจในการแทรกแซงของสหรัฐในภูมิภาคตะวันออกกลาง
หนังสือพิมพ์สหรัฐได้เขียนถึงวิธีการของผู้นำสูงสุดของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ว่า หลายปีที่ผ่านมาท่านอยาตุลลอฮ์ คามาเนอี ได้พูดและเน้นถึงเจตนารมณ์และความตั้งใจของสหรัฐที่ต้องการจะขยายอำนาจของตนในภูมิภาคตะวันออกกลางโดยเฉพาะ และได้ออกมาเตือนแก่รัฐบาลอิหร่านและประเทศอื่นๆในภูมิภาคตะวันออกกลางถึงการรุกรานทางด้านวัฒนธรรม และในขณะเดียวกัน ประเทศหนึ่งในภูมิภาคนี้เป็นประเทศที่พร้อมจะออกมาต่อต้านสหรัฐอย่างภาคภูมิใจ คือ ประเทศอิหร่าน
รัฐบาลสหรัฐตระหนักถึงการจะต้องเตรียมทีมที่จะใช้ในการเจรจาครั้งใหม่เพื่อตรวจสอบและจัดการกับอิหร่านในการประชุม 5+1 กรณีนิวเคลียร์และได้เขียนอีกว่า ผู้นำสูงสุดอิหร่านได้อนุญาตให้ฮาซัน รูฮานีและกระทรวงการต่างประเทศของเขา หาทางถึงความเป็นไปได้ในข้อตกลงถึงปัญหานิวเคลียร์กับชาติตะวันตก แต่ทว่าท่านก็ได้ขีดเส้นตายและเงื่อนไขในการเจรจานี้ไว้ด้วย ผู้นำอิหร่านได้ประกาศให้ยกเลิกการคว่ำบาตรเช่นเดียวกัน ถ้าหากอิหร่านและตะวันตกได้หาข้อตกลงในปัญหานิวเคลียร์สำเร็จ และการคว่ำบาตรต่างๆถูกยกเลิกบางทีสิ่งอื่นๆอาจจะเกิดขึ้นในนโยบายต่างประเทศอิหร่าน แต่ทว่าจากเงื่อนไขทั้งหมดการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับอิหร่านก็ไม่น่าจะเป็นไปได้
Wall Street Journal ได้สรุปไว้ว่า ถ้าหากสหรัฐฉลาดหลังจากที่หาข้อตกลงกันในปัญหานิวเคลียร์กับเตฮะรานสำเร็จ สหรัฐควรมุ่งเป้าไปที่การขยายความสัมพันธ์กับอิหร่าน ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความสัมพันธ์ทางด้านเศรษฐกิจและการค้าขาย ดีกว่ามุ่งเป้าไปที่การสร้างความแตกแยกหรือปัญหาแบ่งประเทศในตะวันออกกลาง แต่มีเงื่อนไขสำคัญอยู่ว่า ผู้นำสูงสุดอิหร่านต้องอนุญาตเสียก่อน
http://www.khorasannews.com/OnlineNews.aspx?newsid=1247192