IDF คืออะไร และทำไมรัฐเถื่อนอิสราเอลถึงเรียกกองกำลังตัวเองว่า IDF

36

IDF ย่อมาจาก “Israel Defense Forces” หรือในภาษาฮีบรูเรียกว่า “Tzahal” (צה”ל – צבא ההגנה לישראל) ซึ่งแปลตรงตัวว่า “กองกำลังป้องกันประเทศอิสราเอล” IDF เป็นกองทัพอย่างเป็นทางการของอิสราเอล ประกอบไปด้วยสามเหล่าทัพ ได้แก่ กองทัพบก กองทัพอากาศ และกองทัพเรือ

ประวัติความเป็นมาของ IDF

หลังจากการก่อตั้งรัฐอิสราเอลในปี ค.ศ. 1948 IDF ก็ถูกจัดตั้งขึ้นทันทีในวันที่ 26 พฤษภาคม ค.ศ. 1948 เพื่อป้องกันประเทศใหม่จากการโจมตีจากหลายชาติอาหรับที่ไม่ยอมรับการจัดตั้งรัฐอิสราเอล กลุ่มที่มีบทบาทสำคัญในช่วงก่อตั้งได้แก่ Haganah ซึ่งเป็นกองกำลังติดอาวุธที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1920s โดยชุมชนชาวยิวในปาเลสไตน์ นอกจากนี้ยังมีกลุ่ม Irgun และ Lehi ซึ่งเป็นกองกำลังอื่น ๆ ที่ร่วมปกป้องชุมชนยิวก่อนที่จะรวมตัวกันกลายเป็น IDF อย่างเป็นทางการในเวลาต่อมา

การก่อตั้ง IDF มีเป้าหมายเพื่อรวมกองกำลังติดอาวุธทั้งหลายเข้าด้วยกันภายใต้การควบคุมของรัฐบาล เพื่อให้เกิดความสามัคคีในการป้องกันประเทศจากศัตรูภายนอกและเสริมสร้างความมั่นคงให้กับประชาชนชาวอิสราเอล

ทำไมอิสราเอลถึงเรียกกองกำลังของตัวเองว่า IDF?

คำว่า “Defense” หรือ “การป้องกัน” มีความสำคัญในชื่อของกองทัพอิสราเอล เนื่องจากมีเป้าหมายเพื่อเน้นการป้องกันประเทศและปกป้องประชาชนจากภัยคุกคามต่าง ๆ ชื่อ IDF สะท้อนถึงภารกิจที่อิสราเอลเน้นในการปกป้องประชาชนและดินแดน ไม่ใช่การรุกรานประเทศอื่น การใช้คำว่า “ป้องกัน” เป็นสัญลักษณ์ทางจิตวิทยาและการเมืองเพื่อเน้นย้ำให้เห็นว่า IDF มีเป้าหมายหลักในการป้องกันประเทศของตนเองจากการโจมตี แต่นี่ไม่ใช่ความจริง

อิสราเอลมีส่วนร่วมในสงครามหลัก ๆ หลายครั้งตั้งแต่ก่อตั้งประเทศในปี ค.ศ. 1948 ซึ่งสงครามเหล่านี้ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับข้อพิพาทเรื่องดินแดนและความมั่นคงกับประเทศเพื่อนบ้านที่ไม่ยอมรับการก่อตั้งรัฐอิสราเอล ต่อไปนี้คือสงครามและการปะทะหลัก ๆ ของอิสราเอลที่มีผลต่อดินแดน:

  1. สงครามอาหรับอิสราเอล(1948-1949)
  • ปี: ค.ศ. 1948 – ค.ศ. 1949 อิสราเอลขยายดินแดนเพิ่มขึ้นจากที่แบ่งไว้ในแผนแบ่งดินแดนของสหประชาชาติ อิสราเอลได้ครองพื้นที่หลายแห่ง และทำให้ชาวปาเลสไตน์จำนวนมากต้องอพยพออกจากบ้านเกิดของตน
  1. สงครามซีนายหรือ สงครามสุเอซ (1956)
  • ปี: ค.ศ. 1956 อิสราเอลจึงร่วมมือกับอังกฤษและฝรั่งเศสบุกยึดคาบสมุทรซีนาย อย่างไรก็ตามแม้อิสราเอลจะชนะทางทหาร แต่ถูกบีบให้ถอนกำลังออกจากคาบสมุทรซีนายภายใต้การกดดันจากสหประชาชาติและสหรัฐอเมริกา
  1. สงครามหกวัน(1967)
  • ปี: ค.ศ. 1967 อิสราเอลเริ่มโจมตีก่อนและยึดดินแดนสำคัญ ได้แก่ คาบสมุทรซีนาย (จากอียิปต์), ฉนวนกาซา, เวสต์แบงก์ (จากจอร์แดน), และที่ราบสูงโกลัน (จากซีเรีย) ทำให้ดินแดนของอิสราเอลขยายออกอย่างมาก
  1. สงครามยอมคิปปูร์(1973)
  • ปี: ค.ศ. 1973 อิสราเอลพลิกสถานการณ์กลับมาและยึดครองดินแดนที่ถูกปลดแอกจากพวกเขากลับมาได้อีกครั้งเดิมได้ สงครามนี้จบลงด้วยการเจรจาหยุดยิง
  1. สงครามเลบานอน(1982)
  • ปี: ค.ศ. 1982 อิสราเอลตอบโต้การโจมตีจากกลุ่ม PLO (องค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์) ที่มีฐานในเลบานอน อิสราเอลบุกเข้าภาคใต้ของเลบานอนและมุ่งหน้าสู่กรุงเบรุต ทำให้สามารถควบคุมพื้นที่บางส่วนในเลบานอนและจัดตั้งเขตกันชนในภาคใต้ แต่ในที่สุดก็ถอนทหารออกในปี ค.ศ. 2000
  1. สงครามเลบานอนครั้งที่สอง(2006)
  • ปี: ค.ศ. 2006 อิสราเอลจึงบุกโจมตีเลบานอนเพื่อกำจัดฐานทัพของฮิซบอลเลาะห์ แต่การสู้รบจบลงด้วยการหยุดยิงโดยสหประชาชาติ

นอกจากสงครามใหญ่เหล่านี้ อิสราเอลยังมีการเผชิญหน้ากับกลุ่มติดอาวุธในฉนวนกาซา และการปะทะกับกลุ่มต่าง ๆ ในเวสต์แบงก์ รวมถึงการปะทะย่อย ๆ กับกลุ่มฮามาส (Hamas) ซึ่งเป็นองค์กรทางการเมืองและการทหารของปาเลสไตน์

พิจารณาจากจำนวนยอดผู้เสียชีวิต

จำนวนผู้เสียชีวิตชาวปาเลสไตน์ตั้งแต่ปี 1948 มีการประมาณการดังนี้:

การระบุจำนวนผู้เสียชีวิตชาวปาเลสไตน์ตั้งแต่ปี 1948 จนถึงปัจจุบันเป็นเรื่องท้าทาย เนื่องจากความขัดแย้งที่ยาวนานและข้อมูลที่แตกต่างกันจากแหล่งต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม มีการประมาณการดังนี้:

  • สงครามอาหรับ–อิสราเอล (1948–1949): มีชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตประมาณ 13,000 คน
  • สงครามหกวัน (1967): มีชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตประมาณ 6,000 คน
  • การลุกฮือครั้งที่หนึ่ง (Intifada แรก) (1987–1993): มีชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตประมาณ 1,000 คน
  • การลุกฮือครั้งที่สอง (Intifada ที่สอง) (2000–2005): มีชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตประมาณ 3,000 คน
  • ความขัดแย้งในฉนวนกาซา (2008–2009): มีชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตประมาณ 1,400 คน
  • ความขัดแย้งในฉนวนกาซา (2014): มีชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตประมาณ 2,200 คน
  • ความขัดแย้งล่าสุด (2023–2024): มีรายงานว่ามีชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตประมาณ 42,000 คน

เมื่อรวมตัวเลขเหล่านี้ จะได้จำนวนผู้เสียชีวิตชาวปาเลสไตน์ประมาณ 68,600 คน อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนี้เป็นการประมาณการและอาจมีความคลาดเคลื่อน เนื่องจากข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ อาจไม่สอดคล้องกัน

พิจารณาจากจำนวนยอดผู้บาดเจ็บ และผู้พลัดถิ่น

มีการประมาณการดังนี้:

ผู้บาดเจ็บ:

  • สงครามอาหรับ–อิสราเอล (1948–1949): มีชาวอาหรับบาดเจ็บประมาณ 25,000 คน
  • การลุกฮือครั้งที่หนึ่ง (Intifada แรก) (1987–1993): มีชาวปาเลสไตน์บาดเจ็บหลายหมื่นคน
  • การลุกฮือครั้งที่สอง (Intifada ที่สอง) (2000–2005): มีชาวปาเลสไตน์บาดเจ็บประมาณ 10,000 คน
  • ความขัดแย้งในฉนวนกาซา (2008–2009): มีชาวปาเลสไตน์บาดเจ็บประมาณ 5,000 คน
  • ความขัดแย้งในฉนวนกาซา (2014): มีชาวปาเลสไตน์บาดเจ็บประมาณ 11,000 คน
  • ความขัดแย้งล่าสุด (2023–2024): มีรายงานว่ามีชาวปาเลสไตน์บาดเจ็บหลายหมื่นคน

ผู้ไร้ที่อยู่อาศัย:

  • สงครามอาหรับ–อิสราเอล (1948–1949): มีชาวปาเลสไตน์ประมาณ 700,000 คนกลายเป็นผู้ลี้ภัย
  • ความขัดแย้งในฉนวนกาซา (2008–2009): มีชาวปาเลสไตน์หลายหมื่นคนต้องอพยพ
  • ความขัดแย้งในฉนวนกาซา (2014): มีชาวปาเลสไตน์ประมาณ 500,000 คนต้องอพยพ
  • ความขัดแย้งล่าสุด (2023–2024): มีรายงานว่ามีชาวปาเลสไตน์กว่า 1.5 ล้านคนในฉนวนกาซากลายเป็นผู้ไร้ที่อยู่อาศัย

จากข้อมูลเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า การที่อิสราเอลเรียกตัวเองว่า IDF ซึ่งย่อมาจาก “Israel Defense Forces” แปลว่า “กองกำลังป้องกันประเทศอิสราเอล” ขัดแย้งกับข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์การหลั่งเลือดนี้อย่างสิ้นเชิง

การโจมตีผู้อื่นโดยอ้างว่าเพื่อป้องกันนั้น สามารถวิเคราะห์ได้ดังนี้

  1. การบิดเบือนความจริง (Cognitive Distortion): กลุ่มคนเหล่านี้มีจุดประสงค์เพื่อบิดเบือนทางความคิด โดยใช้การอ้างถึง “การป้องกันตนเอง” เพื่อเป็นข้อแก้ตัวสำหรับการกระทำที่ก้าวร้าว ซึ่งอาจมาจากความเชื่อผิด ๆ ว่าตนเองตกอยู่ในอันตราย
  2. กลไกการป้องกันตัว (Defense Mechanism): บุคคลหรือกลุ่มคนเหล่านี้อาจใช้การหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง (Rationalization) เป็นกลไกป้องกันตนเอง โดยปรับแต่งเหตุผลเพื่อสนับสนุนการกระทำที่อาจไม่เหมาะสม ซึ่งแสดงถึงความต้องการรักษาภาพลักษณ์และหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับความจริงที่ตนเป็นฝ่ายผิด
  3. การจัดการกับความกลัวและความไม่มั่นคง: บ่อยครั้งผู้ที่มีความรู้สึกไม่มั่นคงหรือมีปมในอดีตอาจรับรู้ถึง “ภัยคุกคาม” แม้ว่าจะไม่มีการคุกคามจริง การอ้างเหตุผลนี้อาจเป็นการปกป้องตนเองจากความรู้สึกกลัวลึก ๆ ต่อผู้อื่น จึงโจมตีเพื่อรู้สึกว่าตนเองมีพลังอำนาจและสามารถควบคุมสถานการณ์ได้
  4. การใช้ความชอบธรรมเป็นเครื่องมือในการควบคุม: การอ้าง “การป้องกันตนเอง” อย่างมิชอบเพื่อสร้างความชอบธรรมในความก้าวร้าว แสดงถึงการสร้างกรอบที่ใช้บิดเบือนเพื่อควบคุมหรือครอบงำผู้อื่น ผู้กระทำเช่นนี้อาจไม่ได้มองการกระทำตนเองเป็นสิ่งผิด เพราะมองตนเองว่ามีเหตุผลในการกระทำเพื่อ “ความยุติธรรม” ของตนเอง
  5. มิติทางปรัชญา: ในเชิงปรัชญา การกระทำนี้สะท้อนถึงความคลุมเครือระหว่างความชอบธรรมและความไม่ชอบธรรม ซึ่งผู้กระทำพยายามลบเส้นแบ่งนี้เพื่อให้ตนเองดูเหมือนอยู่ในด้าน “ถูกต้อง” ความคิดนี้เกี่ยวโยงกับปรัชญาสังคมที่ว่าด้วยการทำให้ตนเองเหนือกว่าโดยการลดคุณค่าผู้อื่น
  6. ในแง่ศีลธรรมการกระทำของผู้ที่โจมตีผู้อื่นอย่างมิชอบโดยอ้างเหตุผลเพื่อ “ป้องกันตนเอง” เป็นการกระทำที่น่าตำหนิ เนื่องจาก:

ก) การไม่ยึดมั่นในความจริงและความถูกต้อง: ศีลธรรมตั้งอยู่บนฐานของความจริงและความยุติธรรม การโจมตีผู้อื่นอย่างไร้เหตุผลแต่อ้างเหตุผลเพื่อป้องกันตนเองนั้นขัดแย้งกับหลักการนี้ เพราะผู้กระทำบิดเบือนความจริงเพื่อประโยชน์ของตนเอง การสร้างเรื่องเท็จเพื่อปกป้องตนเองไม่เพียงแต่ทำให้การกระทำไม่ถูกต้อง แต่ยังสะท้อนถึงความไม่ซื่อสัตย์ต่อตนเองและผู้อื่น

ข) การขาดความเคารพต่อศักดิ์ศรีของผู้อื่น: ศีลธรรมเน้นให้เราปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเคารพในฐานะที่เป็นมนุษย์เหมือนกัน การโจมตีผู้อื่นอย่างไม่มีมูลความจริงถือเป็นการละเมิดศักดิ์ศรีของผู้อื่น และแสดงถึงความไม่เคารพ ซึ่งทำลายความสัมพันธ์และความไว้วางใจในสังคม

ค) การเอาเปรียบและการใช้ข้ออ้างเพื่อหาผลประโยชน์ส่วนตัว: การอ้างว่ากระทำเพื่อป้องกันตัวเองเมื่อโจมตีผู้อื่นอย่างไม่สมควรสะท้อนถึงการเอาเปรียบผู้อื่นและพยายามหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ การอ้างป้องกันตัวเพื่อสร้างความชอบธรรมในการทำร้ายผู้อื่นเป็นการใช้เหตุผลแบบบิดเบือนเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้ตนเอง แต่แท้จริงแล้วกลับทำร้ายผู้อื่นในกระบวนการนี้

ง) การละเมิดหลักการไม่ทำร้ายผู้อื่น (Non-Maleficence): ในเชิงจริยศาสตร์ หลักการพื้นฐานหนึ่งคือการหลีกเลี่ยงการทำร้ายผู้อื่นโดยไม่จำเป็น ผู้ที่โจมตีผู้อื่นแต่อ้างว่าเป็นการป้องกันตนเองกำลังละเมิดหลักการนี้ เพราะพวกเขาทำร้ายคนอื่นโดยปราศจากเหตุผลที่สมเหตุสมผล การอ้างเพื่อป้องกันตัวเองนั้นควรเกิดจากสถานการณ์ที่มีภัยจริง ๆ แต่ในกรณีนี้การโจมตีนั้นเป็นไปโดยไม่มีเหตุผลแท้จริง

จ) การสร้างแบบอย่างที่ไม่ดีในสังคมโลก: การกระทำเช่นนี้หากเกิดขึ้นบ่อยครั้งและไม่ถูกท้าทาย จะกลายเป็นแบบอย่างที่ไม่ดี ซึ่งอาจทำให้คนอื่นเห็นว่าการบิดเบือนความจริงเพื่อโจมตีคนอื่นนั้นเป็นที่ยอมรับในสังคม สิ่งนี้สามารถสร้างวงจรความไม่ไว้วางใจและความเป็นศัตรูในสังคม ทำลายความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในชุมชน

ในภาพรวมแล้ว การกระทำที่โจมตีผู้อื่นอย่างมิชอบโดยอ้างเหตุผลเพื่อป้องกันตัวเองนั้นไม่เพียงแต่ขัดต่อศีลธรรมพื้นฐาน แต่ยังส่งผลลบต่อทั้งตัวบุคคลและสังคมอย่างร้ายแรง

ที่มา:

https://www.bbc.com/thai/articles/crg190lw099o

สงครามปาเลสไตน์ ค.ศ. 1947–1949 – วิกิพีเดีย (wikipedia.org)

สงครามอิสราเอล-ฮามาส: สรุปความเสียหายตลอด 1 เดือน ในวันที่เด็กถูกฆ่าทุก ๆ 10 นาที – BBC News ไทย