คณะกรรมการสอบสวนอิสระแห่งสหประชาชาติ (UN) เปิดเผยเมื่อวันที่ 16 กันยายนว่า อิสราเอลมีความผิดฐานก่ออาชญากรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ต่อชาวปาเลสไตน์ในกาซา ถือเป็นครั้งแรกที่ UN ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการในประเด็นนี้ พร้อมเรียกร้องให้ประชาคมโลกปฏิบัติตามพันธกรณีทางกฎหมายระหว่างประเทศเพื่อยุติอาชญากรรมและนำผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
“คณะกรรมการพบว่าอิสราเอลมีความรับผิดชอบในการก่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกาซา” นาวี พิลเลย์ (Navi Pillay) ประธานคณะกรรมการฯ กล่าว โดยย้ำว่ามี “เจตนาทำลายชาวปาเลสไตน์ในกาซา” ผ่านการกระทำที่เข้าข่ายนิยามในอนุสัญญาว่าด้วยการป้องกันและการลงโทษอาชญากรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ค.ศ.1948
รายงานกว่า 70 หน้า ชี้ว่ากองทัพและเจ้าหน้าที่อิสราเอลได้กระทำการ 4 ใน 5 ข้อที่เข้าข่ายการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ได้แก่
-
ฆ่าสมาชิกของกลุ่มเป้าหมาย
-
ก่อให้เกิดความเจ็บปวดทางกายหรือจิตใจร้ายแรง
-
สร้างเงื่อนไขการดำรงชีวิตที่ไม่เป็นมนุษย์เพื่อทำลายชาวปาเลสไตน์
-
ดำเนินมาตรการป้องกันการเกิดใหม่ในกลุ่ม เช่น การโจมตีคลินิกการเจริญพันธุ์
พิลเลย์และคริส ซิโดติ (Chris Sidoti) กรรมาธิการอีกท่าน กล่าวในงานแถลงข่าวที่เจนีวาว่า “เจตนาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คือข้อสรุปเพียงอย่างเดียวที่สอดคล้องกับพฤติกรรมและรูปแบบการโจมตีของอิสราเอล”
แดนนี ฮานอน เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำ UN ที่เจนีวา ปฏิเสธข้อสรุปของรายงาน โดยกล่าวหาว่า “เลือกข้อมูลบางส่วน” และ “ทำให้รัฐอิสราเอลถูกทำลายความชอบธรรม”
ก่อนหน้านี้ สมาคมนักวิชาการด้านการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์นานาชาติ (IAGS) รวมถึงองค์กรสิทธิมนุษยชนอย่าง B’Tselem และ Physicians for Human Rights–Israel ต่างออกมาเตือนในทิศทางเดียวกันว่าการโจมตีและการปิดล้อมกาซาเข้าข่ายอาชญากรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
ข้อมูลที่รั่วไหลจากหน่วยข่าวกรองอิสราเอลยังเผยว่า 83% ของผู้เสียชีวิตในกาซาตั้งแต่ตุลาคม 2023 เป็นพลเรือน ใกล้เคียงกับอัตราที่เกิดขึ้นในเหตุฆ่าล้างเผ่าพันธุ์รวันดา
ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) กำลังพิจารณาคดีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่แอฟริกาใต้ยื่นฟ้องอิสราเอล และได้มีคำสั่งชั่วคราว 3 ครั้งในปี 2024 ให้เทลอาวีฟยุติการกระทำที่เข้าข่าย พร้อมเปิดทางให้อาหารและความช่วยเหลือเข้าสู่กาซา
