Grace Lloyd ได้รับการต้อนรับด้วยเสียงปรบมือแสดงความยินดีจากเพื่อนร่วมชั้น ณ โรงเรียนภาษาอังกฤษในอ่าวของโดฮา สำหรับวันแรกของการคลุมผ้าฮิญาบในเดือนรอมฎอนพร้อมกับชุดนักเรียนสีน้ำเงินของเธอ
เด็กหญิงวัย 11 ปี แสดงอาการเขินอาย จากการที่เพื่อนๆนักเรียนชั้นเกรดที่ 7 ณ เมืองหลวงของการ์ตาร์ ปรบมือต้อนรับเธอ เมื่อช่วงต้นเดือนรอมฎอนที่ผ่านมา
Grace Lloyd จะคลุมศีรษะตลอดทั้งเดือนอันศักดิ์สิทธิ์ในปีนี้ เพื่อแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับสตรีมุสลิมที่ต้องเผชิญกับการเลือกปฏิบัติ สำหรับกรณีที่พวกเธอเลือกคลุมผ้าฮิญาบ
“ฉันรู้สึกหนักแน่นเป็นอย่างมากเกี่ยวกับเรื่องนี้” – เด็กหญิง Lloyd กล่าว เธอเป็นผู้เข้าร่วมโครงการ 30 วันรอมฎอนฮิญาบชาเลนจ์ ที่อายุน้อยที่สุด โครงการนี้จะจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยการริเริ่มขององค์กรไม่แสวงหาผลกำไร World Hijab Day (WHD) ในการเชิญชวนผู้หญิงจากทุกความเชื่อ และศาสนาให้ร่วมสวมผ้าคลุมศีรษะสำหรับเดือนอันศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าว
“ฉันมักจะเลือกสวมผ้าคลุมสีดำ ฉันรู้สึกสะดวกสบายกว่าในสีดำ เพราะเพื่อนๆจากชั้นเรียนของฉันก็จะสวมใส่มันเช่นเดียวกัน” – เธอบอกกับสำนักข่าว Al-Jazeera พลางเสริมว่า เธออาจจะลองสวมผ้าสีอื่นในวันอื่นของเดือนภายหลังจากนี้
สำหรับองค์กร World Hijab Day (WHD) เป้าหมายของกิจกรรม 30 วันนี้ เป็นไปเพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีงามร่วมกับผู้คนอื่นๆในชุมชน และเพื่อทำลายความเข้าใจที่ผิดๆที่สังคมมีต่อสตรีมุสลิม
“โครงการนี้ มีไว้สำหรับใครก็ตามที่อยากจะสัมผัสประสบการณ์การคลุมฮิญาบเป็นระยะเวลามากกว่า 1 วัน เพื่อความเข้าใจที่ดียิ่งขึ้น เกี่ยวกับสิ่งที่หญิงมุสลิมจะต้องเผชิญในวิถีชีวิตประจำวัน” Nazma Khan ประธาน และผู้ก่อตั้งองค์กร World Hijab Day กล่าว
ทุกๆปีในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรของ Khan จะเชิญชวนสตรีทั่วไปให้สวมใส่ฮิญาบ 1 วัน เนื่องในโอกาสครบรอบวันฮิญาบโลก (World Hijab Day)
“การมีวันหนึ่งวัน ให้เราได้สัมผัสสถานการณ์ของผู้อื่น มันเป็นสิ่งที่ดีเยี่ยม แต่สำหรับ 30 วันนั้น มันเป็นโอกาสที่เราจะได้สัมผัสกับสิ่งที่เขาต้องเผชิญอย่างจริงจัง” – Ellie Lloyd คณะกรรมการบริหาร และทูตจากประเทศการ์ตาร์ ประจำองค์กรกล่าว
“จากความหมายโดยทั่วไป ฮิญาบ คือ ชิ้นผ้าชิ้นหนึ่ง แต่สำหรับสตรีมุสลิมที่เลือกสวมใส่มันนั้น มันมีความหมายทางด้านจิตวิญญาณที่ลึกซึ้งต่อพวกเขา” เธอกล่าวเสริม
ประสบการณ์ถือศีลอด
เดือนรอมฎอน คือ เดือนสำคัญหนึ่งในปฎิทินอิสลาม เพราะเป็นเดือนที่พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานลงมาในฐานะทางนำ หรือ เครื่องจำแนกแยกแยะให้แก่มนุษยชาติ ด้วยประการฉะนี้ เดือนนี้จึงมีคำสั่งใช้พิเศษ โดยพระผู้เป็นเจ้าทรงบัญญัติให้มีการถือศีลอดในเดือนนี้ เพื่อการขัดเกลาจิตวิญญาณ และร่างกายให้สะอาด ในเป้าหมายเพื่อให้มนุษย์ศึกษาและเข้าใกล้ชิดกับอัลกุรอานมากยิ่งขึ้น
มุสลิมทั่วโลกจึงถือศีลอดในเดือนรอมฎอน คือ การไม่กิน ไม่ดื่ม และกระทำในสิ่งที่ผิดศีลธรรมอันเป็นเหตุให้การถือศีลอดเป็นโมฆะ (อาทิ การพูดปด การฟัง หรือดูสิ่งที่ไม่ดีงาม และการสูบบุหรี่ เป็นต้น) ตั้งแต่ช่วงเวลาที่อาทิตย์ทอแสง ไปจนถึงช่วงที่พระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ตามพระบัญญัติจากพระผู้เป็นเจ้า การถือศีลอด ถือเป็นหลักปฏิบัติที่สำคัญและเป็นคำสั่งวาญิบ (บังคับกระทำ) ซึ่งมุสลิมทุกคนจะต้องปฏิบัติเป็นประจำทุกปี ตั้งแต่เข้าสู่วัยบรรลุนิติภาวะตามกฎเกณฑ์ของศาสนา
Khan บอกกับสำนักข่าว Al Jazeera ว่า การที่สตรี ซึ่งไม่ใช่ชาวมุสลิมสวมฮิญาบนั้น ให้ผลกระทบทางสังคมที่มากกว่าการถือศีลอดของพวกเขา เมื่อกล่าวถึงส่วนของกิจกรรมรอมฎอนชาแลนจ์
Afaf Nasher คณะกรรมกรรมบริหาร สภาว่าด้วยความสัมพันธ์อเมริกัน-อิสลาม ในนิวยอร์ก (CAIR) เห็นด้วยกับ Khan
“การถือศีลอดโดยส่วนใหญ่แล้ว เป็นสิ่งที่สาธารณชนไม่อาจมองเห็นได้ ดังนี้การสวมฮิญาบจึงเป็นการส่งเสริมศรัทธาอย่างเปิดเผย ในรูปแบบที่การถือศีลอดไม่อาจทำได้” เธอกล่าว
อย่างไรก็ดี ในฐานะคริสศาสนิกชน นิกายมอร์มอน Kayla Hajji ซึ่งนอกจากเธอจะร่วมกิจกรรมคลุมฮิญาบ 30 วันแล้ว เธอกล่าวว่า เธอก็จะถือศีลอดด้วยเช่นเดียวกันในปีนี้
“มันมีความสวยงาม ในการมาอยู่ร่วมกันในชุมชนของผู้ศรัทธา เพื่อถือศีลอด ซึ่งมันเป็นสิ่งที่มิอาจบรรยายได้ นอกเสียจากว่าคุณจะเข้าร่วมปฏิบัติด้วย” – หญิงสายชาวอเมริกันจากเฟรสโน รัฐแคลิฟอร์เนีย วัย 35 ปี Kayla Hajji กล่าว
เธอต้องการใช้ประสบการณ์นี้สำรวจสิ่งที่ “พี่น้องร่วมศรัทธา” ของเธอจะต้องเผชิญในแต่ละวัน เพื่อทำความเข้าใจ “อุปสรรค และวิธีการเอาชนะอุปสรรคเหล่านั้น” ให้ดียิ่งขึ้น
Ellie Lloyd อีกหนึ่งผู้ร่วมโครงการ ที่มีแนวโน้มจะร่วมถือศีลอดพร้อมกับชาวมุสลิมในปีนี้ เล่าว่า เธอและบุตรสาวของเธอ Grace แทบจะต้อง “เปลี่ยนตู้เสื้อผ้าทั้งหมด” ให้กลายเป็นชุดเสื้อผ้าที่ปกปิดเรือนร่างและสรีระ เพื่อให้เข้ากับการคลุมผ้าคลุมฮิญาบอย่างถูกต้อง
“มันไม่ได้เป็นเพื่อแค่การเอาผ้ามาคลุมผม แต่มันคือการแต่งกายเช่นเดียวกัน” – สตรีชาวอังกฤษในวัน 38 ปี บอกกับ Al Jazeera
“มันไม่ใช่เป้าหมายของการสวมฮิญาบ หากคุณจะสวมใส่กางเกงจีนส์รัดรูป และเสื้อเอวลอยในขณะเดียวกัน” – Lloyd อธิบาย “มันคือการเคารพการแต่งกายทุกส่วน ไม่ใช่แค่การคลุมผม”
การเลือกปฏิบัติ
สตรีมุสลิมมักจะเผชิญกับการถูกเลือกปฏิบัติ และคำข่มขู่สำหรับการสวมใส่ฮิญาบ
เมื่อต้นปีนี้ มีจดหมายปลุกระดมผู้คนให้โจมตีชาวมุสลิมแพร่สะพัดไปทั่วเมืองต่างๆในสหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 3 ของเดือนเมษายน – เป็นวันซึ่งถูกเรียกว่า “วันลงโทษมุสลิม” (Punish A Muslim Day)
ใบปลิวดังกล่าว ได้ถูกส่งไปยังชาวอังกฤษหลายคนทางไปรษณีย์ โดยระบุว่า จะมีการมอบรางวัล สำหรับใครก็ตามที่ดึงผ้าคลุมออกจากศีรษะของสตรีมุสลิม หยามเหยียดคนมุสลิมด้วยวาจา และสาดน้ำกรดใส่หน้าพวกเขา
ภายหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีทรัมป์แห่งสหรัฐฯ และกระแสการ “แบนมุสลิม” เริ่มต้นขึ้น CAIR รายงานว่า มีเหตุการณ์ต่อต้านชาวมุสลิมเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 17 ในสหรัฐฯเมื่อปีที่แล้ว เปรียบเทียบกับปีก่อนหน้า คือในปี 2016
“ผ้าคลุมบนศีรษะสตรี เป็นสิ่งกระตุ้นความรุนแรงกว่าร้อยละ 13 จากเหตุการณ์ดังกล่าว” – ทางกลุ่มกล่าวในรายงานสิทธิพลเมืองล่าสุดที่ถูกเผยแพร่เมื่อเดือนที่ผ่านมา
นักศึกษาชาวบราซิล Pamela Zafred ผู้ซึ่งเข้าร่วมในการทดลองทางสังคม(Social Experiment)ในเดือนนี้ กล่าวว่า ประสบการณ์ครั้งนี้ ได้กลายมาเป็น “สิ่งที่เปิดตา” ของเธอ
หญิงสาววัย 19 ปีจาก Goiania ซึ่งเติบโตขึ้นมาด้วยวัฒนธรรมของนิกายคาทอลิค แต่ไม่ได้นับถือศาสนาหนึ่งศาสนาใด เล่าให้ Al Jazeera ฟังถึงประสบการณ์คลุมฮิญาบในโครงการ 30 วันรอมฎอนชาแลนจ์ว่า มันเป็นสิ่งที่ “เลวร้ายที่สุด”
“ฉันไปโรงยิม (ขณะสวมผ้าคลุมฮิญาบ) และฉันได้ยินเสียงหัวเราะเยาะเย้ยฉันอย่างไม่หยุดหย่อน” เธอกล่าว “ชั้นเรียนของเราจะถูกจัดให้อยู่เป็นกลุ่มๆ แต่ไม่มีใครเลือกที่จะอยู่กลุ่มเดียวกับฉัน จนกระทั่งอาจารย์เป็นคนมาแบ่งกลุ่มพวกเราด้วยตัวของเขาเอง”
“ฉันสามารถจินตนาการถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับผู้หญิงที่สวมฮิญาบ และความรู้สึกถูกปฏิเสธ ที่พวกเธอต้องเผชิญ ซึ่งมันส่งผลกระทบกับจิตสำนึก sense of belonging อย่างไร”
นอกจากนี้ ยังมีสิ่งท้าทายจากปฏิกิริยาที่เป็นลบในเครือข่ายสื่อโซเชียล ด้วยคำศัพท์ต่างๆ ที่เธอต้องเผชิญ อาทิ คำที่เกี่ยวกับ “การกดขี่” หรือ “การเป็นทาส” เป็นต้น
…….
Via: Saba Aziz