เมื่อพูดถึง “ทาส” ในสหรัฐฯ ผู้คนมักจะนึกถึงและเชื่อมโยงมันกับชาวแอฟริกันผิวสี หรือ ชาวพื้นเมืองอเมริกัน (อินเดียนแดง) จะมีใครสักกี่คนรู้ว่า มีทาสผิวขาว ปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์ของประเทศมหาอำนาจนี้ด้วย
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีจำนวนที่น้อยกว่าทาสผิวสี และผู้ถูกกดขี่จากชาวพื้นเมือง ทว่า ทาสผิวขาวก็มีอยู่จริง อย่างไร้ข้อกังขา
ในบทความโดย the Huffington Post ระบุว่า:
“ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1860 ภาพของเด็ก ๆ ที่ถูกขนานนามว่า” ทาส “ผิวขาวได้ถูกเผยแพร่ไปยังสาธารณชน ในฐานะส่วนหนึ่งของการรณรงค์ (แคมเปญ) เพื่อระดมทุน สำหรับโรงเรียนของรัฐ เพื่อนำไปมอบให้แก่ทาสเด็กๆที่ได้รับการปลดปล่อย
เด็กกลุ่มดังกล่าว ถูกนำมาจัดแสดงให้เห็นเป็นครั้งแรกในภาพถ่ายภายใต้ชื่อ “ทาสผิวขาวและผิวสีที่ได้รับการปลดปล่อย” ใน Harper รายสัปดาห์ นิตยสารการเมืองของสหรัฐฯ ฉบับหนึ่ง เมื่อเดือนมกราคม ปี 1864 อ้างอิงจากบทความชื่อ “Portraits of Slave Children“ (ภาพถ่ายบุคคลของทาสเด็ก) ภาพดังกล่าวถูกเผยแพร่ ในความต้องการสร้างความเห็นอกเห็นใจให้เกิดขึ้นในหมู่ชาวเหนือที่ร่ำรวย สำหรับให้พวกเขาทำการบริจาค
นอกจากนี้ยังควรตั้งข้อสังเกตว่า กลุ่มผู้เหยียดผิว กำลังใช้ประโยชน์จากประวัติของทาสผิวขาวดังที่ว่ามานี้ พวกเขาอ้างอย่างเป็นเท็จว่ามีทาสผิวขาวจำนวนกว่า 300,000 คนถูกซื้อมาจากไอร์แลนด์ ขณะที่จำนวนผู้อพยพจากไอร์แลนด์ ณ เวลานั้น มีประมาณ 50,000 คน ต่อปีเท่านั้น
ไม่ว่าคนเหล่านี้จะอ้างว่าอย่างไร ทว่าประวัติศาสตร์ ก็คือประวัติศาสตร์ที่มิอาจเปลี่ยนแปลงได้ ไม่สำคัญว่าจะมาจากเชื้อชาติใด การเป็นทาสได้สร้างหายนะบนหน้าแผ่นดิน ซึ่งบ่อนทำลายหลักมนุษยธรรมมานานหลายศตวรรษ มันไม่ใช่เกมที่จะมาแข่งขันกันว่า กลุ่มใดมีจำนวนทาสมากกว่ากลุ่มใด หรือ ใครถูกกดขี่มากกว่าใคร ประเด็นไม่ใช่การป่าวประกาศว่า คนผิวขาวก็เคยตกเป็นทาสเหมือนคนผิวดำ เพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่สถานภาพทางสังคมที่เหนือกว่าของตน หรือเพื่อเรียกร้องระบบชนชั้นทางสังคมในอีกรูปแบบหนึ่ง เพราะทั้งชนพื้นเมืองอเมริกัน ชาวแอฟริกัน และเชื้อชาติอื่น ๆ ก็ต่างต้องทุกข์ทรมานจากการตกเป็นทาสมานานเป็นร้อยๆปีทั้งสิ้น ระบบทาสส่วนใหญ่ เกิดขึ้นมาจาก อิทธิพลของคนร่ำรวย ขณะที่เชื้อชาติไม่ใช่ประเด็นหลัก เพราะการเป็นทาส เป็นเรื่องของอำนาจ
ในปีต่อ ๆ มาคนผิวขาวที่ยากจนได้รับการปฏิบัติที่เลวร้ายยิ่งกว่าเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภายหลังจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม
หลายสถาบันการศึกษาที่โด่งดังของอเมริกา มีส่วนร่วมในการลงโทษคนผิวขาวที่ถูกพิจารณาว่า มีสถานภาพต่ำกว่ามนุษย์
การเคลื่อนไหวด้านสุพันธุศาสตร์ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ซึ่งมีรากฐานมาจากสถาบันการศึกษาของอเมริกา ได้พิจารณาว่า คนผิวขาวที่ยากจน และผู้ที่ต่อต้าน “บรรทัดฐานทางสังคม” เป็นบุคคลที่ไม่ “ควรค่า” แก่การสืบทายาท และคนเหล่านั้นจำต้องถูกบังคับให้ทำหมัน และถูกกวาดต้อนร่วมกับคนผิวดำ ชนพื้นเมืองอเมริกัน และคนอื่น ๆ
เพื่อเข้าใจเรื่องราวต่างๆในอีกขั้นหนึ่ง สถาบันการศึกษาเหล่านี้มีคำสั่งจากกลุ่มภราดรภาพลับ ที่ไม่ใช่แค่จากสมาคม”หัวกะโหลกและกระดูก” (Skull and Bones) แห่งมหาวิทยาลัยเยลเท่านั้น
Skull and Bones เป็นสมาคมลับสมาคมหนึ่งที่ได้เริ่มก่อตั้งขึ้นในอเมริกา ณ มหาวิทยาลัยเยล โดยสมาชิกของสมาคมนี้จะถูกเรียกว่า “โบนส์เมน” (Bonesmen) หรือ “ชาวกระดูก”
สิ่งสำคัญก็คือ สมาคมหัวกะโหลกและกระดูกไม่ใช่แค่เพียงกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยเยลที่มีวิธีการจับมือกันและสื่อกันด้วยถ้อยคำที่เป็นรหัสลับ ทว่าสมาชิกของสมาคมนี้เป็นกลุ่มคนหนุ่มที่มาจากครอบครัวที่มีฐานะดี หากจะพูดไปก็คือเป็นกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยเยล ที่มีสติปัญญาดี และถูกคัดเลือกไว้ เพื่อเตรียมให้ไปอยู่ในตำแหน่งแห่งอิทธิพลและอำนาจ โดยเฉพาะในทางการเมืองและการปกครอง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะรับรู้ว่า ทั้งจอร์จ ดับเบิลยู บุช อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ และจอห์น เคอร์รี ผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาคนที่ 66 ต่างก็เป็นนักศึกษาเก่าแก่ของมหาวิทยาลัยเยล และเป็นชาวกระดูก
สารคดีเรื่องนี้เป็นมุมมองที่น่าสนใจสำหรับสังคมลับดังที่ว่ามานี้:
เผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมดควรจะสิทธิเท่าเทียมกัน พวกเขาสมควรที่จะครอบครองเสรีภาพของตน และได้รับความเจริญรุ่งเรือง การเป็นทาส เป็นเรื่องของอำนาจและความกระหายเลือด ที่ซึ่ง ผู้ที่ร่ำรวยกว่าแสดงตนว่า “เป็นเจ้าของ” เหนือผู้ที่ยากจนกว่า ขณะที่ กลุ่มคนเช่น ชาวแอฟริกัน และชนพื้นเมืองอเมริกัน เป็นเหยื่อของการเป็นทาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ทั้งนี้เป็นเพราะผลประโยชน์ และทิศทางทางการเมืองบางประการที่ถูกวางไว้โดยผู้ที่อยู่ในอำนาจ
ความแตกต่างด้านอำนาจระหว่างประชาชนกับรัฐ ผู้มั่งคั่งและผู้มีอิทธิพลจากระดับชั้นบนสุดของสังคมเป็นตัวการที่สร้างระบบทาสขึ้นมา หากลองพิจารณาในยุคปัจจุบัน เราจะพบว่า ผู้คนจากทั่วโลก ล้วนตกเป็นเหยื่อของการเป็นทาส ไม่ว่าจะทางอ้อมหรือทางตรง ในเชิงเศรษฐกิจ หรือสงคราม นอกเหนือจากกลุ่มชนชั้นปกครองเพียงน้อยนิด ที่ว่ากันว่ามีอยู่เพียง 1% มนุษย์โลกที่เหลืออีก 99% ล้วนตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของพวกเขา ฉะนี้พวกเราจึงจำเป็นต้องสามัคคีกัน เพื่อต่อกรกับอาชญากรรมร้ายแรงต่อมนุษยชาติ และเพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรี หลักมนุษยธรรม ความยุติธรรม และเสรีภาพคืนสู่มนุษย์ทุกๆคนอย่างเท่าเทียมกัน
Source: anongroup