ชาวอเมริกันส่วนใหญ่อาจจะไม่สบายใจ หรืออาจถึงกับไม่พอใจต่อข้อมูล และสถิติที่ท่านทั้งหลายจะได้อ่านในเนื้อหาดังต่อไปนี้ เนื่องจากพวกเขาไม่ต้องการเผชิญกับความจริง พวกเขาคิดว่าสามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ ด้วยการเลือกนักการเมืองที่มีความเหมาะสมเข้ามาทำงาน และกระทำการปฏิรูปสังคมและเศรษฐกิจ แต่ปัญหานั้นมีความลุ่มลึกมาก ปัญหาทางด้านศีลธรรมที่กำลังล่มสลายนี้ เป็นเสมือนโรคมะเร็งที่จะทำลายรากฐานของสังคมอเมริกัน ถ้าหากสถานการณ์ยังคงดำเนินไปเช่นนี้ หากชาวอเมริกันยังคงเพิกเฉย ในที่สุดมันก็จะทำลายประเทศสหรัฐอเมริกา
อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าเศร้าใจที่ความเสื่อมทรามทางศีลธรรมนั้นไปไกลเกินกว่าที่กลุ่มและพรรคการเมืองใดจะสามารถแก้ไขได้ เนื่องจากเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับชาวอเมริกันหลายสิบล้านคน และส่วนใหญ่พวกเขาไม่ต้องการที่จะรับฟังอะไรเกี่ยวกับความเสื่อมทรามทางศีลธรรม เพราะพวกเขาชอบที่จะคิดว่าสหรัฐอเมริกาเป็นแบบอย่างสำหรับชาวโลก และนี่คือทางเลือกแห่งเสรีภาพที่แท้จริงสำหรับพวกเขา อย่างไรก็ดี ถ้าหากเราพิจารณาดู เราจะสามารถเห็นหลักฐานต่างๆ ของการล่มสลายทางศีลธรรมนี้ ในชีวิตประจำวันรอบๆ ตัวเราเองด้วยเช่นเดียวกัน
อะไรคือสาเหตุที่ทำให้นักเรียนมัธยมปลาย จับมีดและทำร้ายเพื่อนนักเรียนคนอื่น ๆ?
อะไรคือสาเหตุทำให้หญิงเปลือยคนหนึ่งปล้นร้านแมคโดนัลด์ ในรัฐฟลอริดา?
อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เด็กผู้ชายวัย 18 ปีสองคน ทำร้ายคนผิดปกติทางจิต วัย 30 ปีจนตายเพื่อแย่งชิงเครื่องเล่นเกมของเขา?
อะไรคือสาเหตุที่ทำให้พ่อคนหนึ่งได้จับเด็กทารกอายุ 6 สัปดาห์ซึ่งเป็นลูกของตนใส่ลงในตู้แช่แข็งเพื่อหยุดเด็กไม่ให้ร้องไห้?
หลายคนมองว่า ศีลธรรมของผู้คนไม่มีผลกับความก้าวหน้า หรือ ส่งอิทธิพลต่อความร่นถอยของสังคม และคิดเห็นว่า เหตุการณ์ในลักษณะเช่นนี้เป็นเพียงกรณีพิเศษเท่านั้น ทว่าความเป็นจริงก็คือ สิ่งต่างๆเหล่านี้ เป็นตัวบ่งชี้ที่แสดงให้เห็นถึง เทรนด์ หรือแนวโน้มทางสังคมประเภทหนึ่ง มันกำลังกลายเป็นวัฒนธรรม เป็นสิ่งปกติธรรมดา หากเราศึกษาเราจะพบว่า สังคมของเรากำลังถูกทำลายจากภายใน และถ้าเราต้องการที่จะหยุดมัน เราจำเป็นต้องเผชิญหน้าและยอมรับกับความจริงนี้
ดังต่อไปนี้ คือ 65 ความจริงน่าเหลือเชื่อเกี่ยวกับสังคมอเมริกัน :
1.ตามการประกาศของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ประมาณหนึ่งในสามของประชากรสหรัฐฯ เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
2.ในแต่ละปี มีผู้ป่วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เพิ่มขึ้นจำนวนประมาณ 20 ล้านคน
3.สหรัฐอเมริกามีอัตราการเกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สูงที่สุดในบรรดาประเทศที่พัฒนาแล้ว
4.ประมาณร้อยละ 50 ของผู้ที่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทุกปีนั้น อยู่ในวัยระหว่าง 15 ถึง 24 ปี
5.ในแต่ละปีเงินจำนวนประมาณ 16,000 ล้านดอลลาร์จะถูกใช้จ่ายไปเพื่อรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในสหรัฐอเมริกา
6.สหรัฐอเมริกามีอัตราการตั้งครรภ์ที่สูงที่สุดในวัยรุ่นท่ามกลางประเทศที่พัฒนาแล้ว ปัจจุบันในจำนวนเด็กหญิงวัยรุ่นสี่คน จะมีผู้เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หนึ่งคน
8.ในขณะนี้มีผู้กระทำความผิดฐานล่วงละเมิดทางเพศจำนวน 747,408 คนในสหรัฐอเมริกา ซึ่งจำนวนดังกล่าวนี้ เป็นจำนวนเฉพาะผู้ที่ถูกจับกุมเพียงเท่านั้น
9.เฉพาะในรัฐแคลิฟอร์เนียเพียงอย่างเดียวมีผู้กระทำความผิดฐานล่วงละเมิดทางเพศจำนวน106,216 ราย
10.ร้อยละ18 ของสตรีสหรัฐฯ กล่าวว่า พวกเธอถูกข่มขืนตลอดช่วงการดำเนินชีวิตของพวกเธอ
11.การข่มขืนมากกว่าร้อยละ 50 เกิดขึ้นในรัศมี 1 ไมล์จากบ้านของผู้ตายหรือผู้ตกเป็นเหยื่อ
12.เยาวชนที่มีอายุระหว่าง 16 ถึง 19 ปีจะตกเป็นเหยื่อของการข่มขืนหรือความพยายามที่จะกระทำชำเรา สามเท่าของผู้หญิงในวัยอื่น
13.ประมาณร้อยละ 60 ของเด็กผู้ชายและร้อยละ 80 ของเด็กผู้หญิงจะเป็นเหยื่อของการทารุณกรรมทางเพศ โดยสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวหรือญาติใกล้ชิดคนหนึ่งของพวกเขา
14.โดยประมาณการณ์ในแต่ละปี 1 คน จากเด็กผู้หญิงจำนวน 4 คน จะถูกทารุณกรรมทางเพศก่อนโตเป็นสาว
15.ร้อยละ 30 ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั้งหมดในสหรัฐอเมริกาจะเข้าชมเว็บไซต์ลามกอนาจารต่างๆ
16.เด็กนักเรียนมัธยมปลายจะใช้เวลาโดยเฉลี่ย 2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ในการเข้าชมเว็บไซต์ลามกอนาจาร
17.หน่วยงานตุลาการประเมินว่าชาวอเมริกันประมาณ 600,000 คน และชาวแคนาดาประมาณ 65,000 คนมีการแลกเปลี่ยนรูปภาพลามกอนาจารของเด็กๆ ผ่านโลกออนไลน์
18.มีการประเมินว่าประมาณร้อยละ 89 ของการผลิตเนื้อหาลามกอนาจารในโลกนี้ มาจากสหรัฐอเมริกา
19.การศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นว่าร้อยละ 25 ของพนักงานที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตในที่ทำงานของพวกเขา จะเข้าดูเว็บไซต์ลามกอนาจาร
20.อัตราการแต่งงานในสหรัฐอเมริกาลดลงมากขึ้นกว่าเดิม ปัจจุบันจากจำนวนทุก 1,000 คน มีเพียง 7 คนเท่านั้นที่แต่งงาน
21.สหรัฐอเมริกามีอัตราการหย่าร้างสูงที่สุดในโลก
22.ประเทศสหรัฐอเมริกามีอัตราครัวเรือนที่มีสมาชิกเพียงคนเดียวสูงที่สุดในโลก
23.ปัจจุบันในสหรัฐอเมริกามีเพียงร้อยละ 51 ของประชาชนที่ใช้ชีวิตครอบครัว ในขณะที่ในปี 1960 มีจำนวนร้อยละ 72
24.ในสหรัฐอเมริกา มากกว่าครึ่งหนึ่งของเด็กที่เกิดมาจากผู้หญิงอายุต่ำกว่า 30 ปีเป็นลูกนอกสมรส
25.ปัจจุบันในสหรัฐอเมริกา เด็กประมาณ 1 ใน 3 คน จะมีชีวิตอยู่โดยไม่มีพ่อ
26.นับจากปี ค.ศ.1973 ซึ่งเป็นปีที่การทำแท้งได้กลายเป็นสิ่งถูกต้องตามกฎหมายในสหรัฐฯ จนถึงขณะนี้ ทารกในครรภ์ในสหรัฐฯ ได้ถูกทำแท้งไปแล้วประมาณ 56 ล้านคน
27.จำนวนของทารกในครรภ์ที่ถูกทำแท้งในแต่ละปี มีจำนวนเท่ากับจำนวนรวมของทหารอเมริกันที่เสียชีวิตในสงครามทั้งหมดที่ประเทศสหรัฐอเมริกาได้เคยเข้าร่วมมา
28.ชาวอเมริกันประมาณ 3,000 คนเสียชีวิตในเหตุการณ์ 11 กันยายน ปัจจุบันนี้ในแต่ละวันทารกในครรภ์ของสตรีชาวอเมริกันจะถูกทำแท้งจำนวน 3000 ราย
29.ประมาณร้อยละ 41 ของผู้ตั้งครรภ์ในนครนิวยอร์กจะทำแท้ง
30.ประมาณร้อยละ 52 ของผู้ตั้งครรภ์ชาวแอฟริกัน-อเมริกันจะทำแท้ง
31.ทุกๆ ปี ร้อยละ 18 ของผู้ที่ทำแท้งจะเป็นวัยรุ่น
32.การศึกษาวิจัยพบว่าร้อยละ 86 ของผู้ที่ทำแท้ง พวกเขาทำเพื่อให้เกิดความสะดวกสบายแก่ตัวเอง
33.ตามแถลงการณ์ที่ออกโดยสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ( NSA) ในปี 2012 บุคคลที่คัดค้านการทำแท้งนั้นจะถูกนับว่าเป็นผู้ก่อการร้ายได้
34.บางคลินิกทำแท้งนั้นจะขายทารกในครรภ์ที่ถูกทำแท้งไปยังศูนย์วิจัยต่างๆ
35.องค์กร “Planned Parenthood” จะจัดให้มีทำแท้งเป็นประจำทุกปี จำนวน 300,000 ราย
36.องค์กร “Planned Parenthood” ได้กำหนดเป้าหมายไปที่คนยากจน และร้อยละ 72 ของลูกค้าอยู่ต่ำกว่าเกณฑ์ความยากจน
37.การละเมิดทางเพศในหมู่ทหารของสหรัฐฯมีมากขึ้นกว่าเดิม และส่วนใหญ่เป็นเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศของผู้ชายด้วยกัน
38.ในปี 2012 มีทหารมากกว่า 85,000 นายที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส หรือเจ็บป่วยที่เกิดจากการล่วงละเมิดทางเพศเข้ารักษาตัว
39.จำนวนของทหารอเมริกันที่ฆ่าตัวตายในแต่ละปี มีมากกว่าจำนวนทหารที่เสียชีวิตในสงคราม
40.การฆ่าตัวตายของทหารในสหรัฐฯ ในแต่ละวันจะมีสูงถึง 22 ราย
42.สหรัฐอเมริกามีนักโทษจำนวนมากที่สุดในโลก
43.ขณะนี้ 60 ล้านคนในสหรัฐอเมริกา มีการใช้ประโยชน์จากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และ 22 ล้านคนใช้ยาเสพติดที่ผิดกฎหมาย
44.ตามการศึกษาวิจัยของคลีนิคมาโย (Mayo) ร้อยละ 70 ของชาวอเมริกันมีการใช้ยาเป็นประจำอย่างน้อยคนละหนึ่งชนิดและร้อยละ 20 ของพวกเขาใช้ยาเป็นประจำอย่างน้อย 5 ชนิด
45.ชาวอเมริกันใช้จ่ายเงินสำหรับการซื้อยามากกว่า 28,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี
46.ตามการประกาศของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) บรรดาแพทย์ในสหรัฐฯ ได้ออกใบสั่งยาต้านอาการซึมเศร้าในแต่ละปีจำนวน 250 ล้านใบ
47.ปัจจุบัน 70 ล้านคนในสหรัฐฯ กำลังใช้ยาจิตเวช (ยาเสพติดที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท)
48.เด็ก ๆ ในสหรัฐอเมริกามีภาวะซึมเศร้ามากกว่าเด็กในยุโรป 3 เท่า
49.สหรัฐอเมริกามีอัตราการใช้ยาที่ผิดกฎหมายมากที่สุดในโลก
50.จำนวนผู้เสพติดเฮโรอีนในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับปี 2002
51.จำนวนผู้เสียชีวิตจากการใช้เฮโรอีนเพิ่มขึ้นร้อยละ 84 เมื่อเทียบกับปี 2010
52.สหรัฐอเมริกามีอัตราการเป็นโรคอ้วนสูงที่สุดในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว
53.ในปี 1962 มีเพียงร้อยละ 13 ของชาวอเมริกันที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคอ้วนซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 42 ในปี 2030
54.ตามการประกาศของเอฟบีไอ (FBI) ผู้กระทำผิดมากกว่า 1.4 ล้านคน มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ใน 33,000 แก๊งค์
55.อัตราการเกิดอาชญากรรมในสหรัฐอเมริกาในปี 2012 เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 เมื่อเทียบกับปีต่างๆ ก่อนหน้านี้
56.เด็กหนุ่มชาวอเมริกันจะใช้เวลาโดยเฉลี่ย 10,000 ชั่วโมงในการเล่นเกมคอมพิวเตอร์ก่อนที่เขาจะมีอายุครบ 21 ปี
57.ผลการศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นว่าร้อยละ 88 ของชาวอเมริกันที่มีอายุระหว่าง 8 ถึง 18 ปี ติดเกมคอมพิวเตอร์ ซึ่งเด็กผู้ชายจะมีจำนวนมากกว่าเป็น 4 เท่าเมื่อเทียบกับเด็กผู้หญิง
58.ในปัจจุบันเด็กนักเรียนวัย 15 ปี ที่ศึกษาอยู่ในโรงเรียนของรัฐในสหรัฐฯ มีความรู้น้อยในด้านวิทยาศาสตร์เชิงประจักษ์และทางคณิตศาสตร์มากกว่าเด็กเยาวชนในวัยเดียวกันในประเทศอื่นๆ ที่พัฒนาแล้ว
59.ในแต่ละปีจะมีรายงานการข่มขืนมากกว่า 3 ล้านฉบับในสหรัฐอเมริกา
60.ประมาณหนึ่งในห้าของคนอเมริกันไม่มีความเชื่อทางศาสนา ตัวเลขดังกล่าวในปี 1972 มีเพียงร้อยละ 7
61.ร้อยละ 73 ของผู้ที่ไม่มีความเชื่อทางศาสนาเห็นด้วยกับการแต่งงานของเกย์และร้อยละ 72 ของพวกเขาเห็นด้วยกับการทำแท้ง
62.จำนวนคนที่ไม่นับถือศาสนาในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า เมื่อเทียบกับปี 1990 ถึงปี 2008
63.ประมาณร้อยละ 60 ของคริสเตียนอายุระหว่าง 15 ถึง 29 ปีจะไม่ไปโบสถ์อีกต่อไป
64.คาดการณ์ว่าในปี 2050 จำนวนชาวอเมริกันที่ไปโบสถ์จะลดลงครึ่งหนึ่งของจำนวนในขณะนี้
65.จากการศึกษาวิจัย ร้อยละ 46 ของชาวอเมริกันไม่ได้มีความคิดเกี่ยวกับเรื่อง สวรรค์-นรก
บทความโดย Michael Snyder นักวิจัยด้านสังคมศาสตร์
Source:islamtimes