อิหม่ามฮุเซน อ. ในมุมมองของนักวิชาการต่างศาสนิก

2050

 

เหตุการณ์แห่งกัรบาลาแสดงให้เห็นถึงการเสีย สละที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเพื่อพระผู้เป็นเจ้าในหน้าประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ เรื่องราวโดยละเอียดและน่าตื่นตะลึงของเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่นี้ได้ถูกจด บันทึกและเก็บรักษาไว้ตั้งแต่วันแรกๆ โดยผู้เห็นเหตุการณ์

ตลอดระยะเวลาสิบสี่ศตวรรษที่ผ่านมานี้ สมรภูมิแห่งกัรบาลาสะท้อนให้เห็นถึงการเป็นปรปักษ์กันระหว่างความดีกับความ ชั่ว บุญกับบาป ความถูกต้องกับความผิด และความเป็นปรปักษ์ระหว่างอิหม่ามฮุเซน (อ.) (หัวหน้าของความดีงาม) กับยะสีด (หัวหน้าของความเลวทราม)

เอ็ดเวิร์ด จี. บราวน์ (Edward G. Brown) ศาสตราจารย์ด้านภาษาอาหรับและตะวันออกศึกษา ที่มหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ ได้กล่าวยกย่องอิหม่ามฮุเซน อ. ไว้ดังนี้ :

“… สิ่งเตือนใจถึงสมรภูมิเลือดแห่งกัรบาลา ที่ซึ่งหลานชายของศาสดาแห่งพระเจ้าได้ทอดร่างลง ทุกข์ทรมานด้วยความกระหาย และรายล้อมไปด้วยร่างของญาติมิตรผู้ถูกสังหารของเขานั้น ไม่ว่าเวลาใดก็เพียงพอที่จะปลุกความรู้สึกส่วนลึกที่สุด ความเศร้าโศกอย่างถึงที่สุด ให้เกิดขึ้นได้แม้แต่กับคนที่ไม่รู้สึกรู้สาและไม่ใส่ใจที่สุดก็ตาม และเป็นความปลาบปลื้มยินดีทางจิตวิญญาณจนถึงขนาดที่ความเจ็บปวด อันตราย และความตายก็กลายเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ถูกละเลยไป” (A Literary History of Persia, ลอนดอน, 1919, หน้า 227)

ในฐานะอิหม่ามแห่งยุคสมัยและตัวแทนที่แท้จริงของ ศาสดามุฮัมมัด (ศ.) ผู้เป็นตา อิมามฮุเซน (อ.) ได้ลุกขึ้นต่อต้านทรราชย์แห่งยุคสมัยเพื่อปกปักรักษาอิสลามและชี้นำชาว มุสลิม ในทางกลับกัน ผู้ปกครองที่มีอำนาจอยู่ในเวลานั้น (มุอาวียะห์ และยะสีดลูกชายของเขา) อาศัยกำลังจากดาบเพียงอย่างเดียว พวกเขาปกครองอาณาจักรของชาวมุสลิมโดยใช้การบังคับอย่างเหี้ยมโหด แม้จะด้วยวิธีการที่ป่าเถื่อนก็ตาม

เมื่อตะวันตกดินในวันอาชูรอที่ท้องทุ่งกัรบาลา อิหม่ามฮุเซน อ. ได้มอบทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์จะสามารถให้ได้ไปในหนทางของพระเจ้า รวมทั้งผู้ติดตามที่หาญกล้าและภักดีของท่าน 72 คน และทารกน้อยอะลี อัสฆัร ที่น่ารักวัย 6 เดือนของท่าน การเสียสละอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ กุรอานได้ยกย่องไว้ว่า :

“และเจ้าจงอย่าได้คิดเป็นอันขาดว่า บรรดาผู้ที่ถูกฆ่าในทางของอัลลอฮ์นั้นตาย มิได้ พวกเขายังมีชีวิตอยู่ ณ พระเจ้าของพวกเขา ในสภาพที่ได้รับปัจจัยยังชีพ” (กุรอาน 3 : 169)

ก่อนที่จะเกิดการสู้รบที่กัรบาลา โลกรู้จักเพียงแค่กฎที่ว่า “อำนาจคือความถูกต้อง” อย่างไรก็ตาม วันอาชูรอได้แนะนำให้โลกได้รู้จักกับกฎที่ทรงพลังยิ่งกว่านั้น นั่นก็คือ “ความถูกต้องคืออำนาจ” บัดนี้ เลือดของผู้บริสุทธิ์สามารถมีชัยชนะเหนือดาบของผู้กดขี่

มหาตมะ คานธี (นักการเมืองและผู้นำทางจิตวิญญาณชาวอินเดีย) เขียนไว้ว่า : “ข้าพเจ้าเรียนรู้วิธีที่จะมีชัยชนะในขณะที่ถูกกดขี่ได้จากฮุเซน”

รพินทรนาถ ฐากูร กวีผู้มีชื่อเสียง บอกว่า การเสียสละของฮุเซนแสดงให้เห็นถึงการปลดปล่อยทางจิตวิญญาณ โดยเขาได้เขียนว่า “เพื่อที่จะรักษาความยุติธรรมและสัจธรรมให้ดำรงอยู่ แทนที่จะเป็นกองทัพหรืออาวุธ สามารถทำให้ประสบความสำเร็จได้โดยการสละชีวิต นั่นคือสิ่งที่อิหม่ามฮุเซน อ. ได้ทำแล้ว”

ชัยชนะตลอดกาลเช่นนั้น สามารถทำให้สำเร็จได้โดยผู้ที่มีความเชื่อและไว้วางใจอย่างแท้จริงต่อพระผู้เป็นเจ้า

โธมัส คาร์ไลล์ (นักประวัติศาสตร์และนักเขียนชาวสก๊อต) อธิบายว่า : “บทเรียนที่ดีที่สุดที่เราได้รับจากโศกนาฏกรรมแห่งกัรบาลาก็คือ ฮุเซนและคณะของเขาคือผู้ที่มีความเชื่อในพระเจ้าอย่างแรงกล้า พวกเขาแสดงให้เห็นว่าจำนวนที่มากกว่าไม่มีความหมายเลยเมื่อเป็นเรื่องของ สัจธรรมและความเท็จ ชัยชนะของฮุเซนที่แม้จะมีจำนวนที่น้อยกว่า ทำให้ผมประหลาดใจมาก”

อิหม่ามฮุเซน อ. อธิบายถึงภารกิจการเสียสละของท่านไว้ด้วยคำพูดของท่านเองว่า “ที่ฉันลุกขึ้นออกมาครั้งนี้ไม่ใช่เพราะความหยิ่งยโสหรือทะนงตน ทั้งไม่ใช่เพราะความประสงค์ร้ายหรือความอยุติธรรม แต่ฉันลุกขึ้นเพื่อทำการปฏิรูปประชาชาติของท่านตาของฉัน ฉันอยากจะเชิญชวนมาสู่ความดีงาม ห้ามปรามความชั่วร้าย และปฏิบัติตามแบบอย่างของท่านตาของฉันและบิดาของฉัน อะลี บิน อะบีฏอลิบ”

ชาร์ลส์ ดิกเค่นส์ (นักประพันธ์ชาวอังกฤษ) เขียนไว้ว่า “ถ้าหากฮุเซนต่อสู้เพื่อสนองความปรารถนาทางโลกแล้วไซร้… ผมก็ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมน้องสาว ภรรยา และลูกๆ ของเขาจะต้องติดตามเขามาด้วย เพราะฉะนั้นจึงเข้าใจได้ว่า เขาได้เสียสละไปเพื่ออิสลามโดยแท้”

แม้จะมีแง่มุมที่เจ็บปวดของกัรบาลา แต่มันก็มีความหมายสำคัญอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์ของอิสลาม เนื่องจากการปฏิวัติของอิหม่ามฮุเซน อ. ไม่ได้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความบังเอิญเท่านั้น มันเป็นขบวนการเพื่อที่จะฟื้นฟูอิสลาม อิหม่ามฮุเซน อ. ได้ประกาศภารกิจอันทรงเกียรตินี้เอาไว้ตั้งแต่วันแรกแล้ว

อันทอยน์ บารา (นักเขียนชาวเลบานอน) เขียนไว้ว่า “ไม่มีสงครามใดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติทั้งในปัจจุบันและอดีต ที่จะได้รับความเห็นอกเห็นใจและความนับถือ รวมทั้งที่จะให้บทเรียนได้มากไปกว่าการพลีชีวิตของฮุเซน ในสมรภูมิแห่งกัรบาลา” (Husayn in Christian Ideology)

Karbala

หน้าประวัติศาสตร์เคยได้เห็นการสังหารหมู่ประชาชาติ ผู้บริสุทธิ์มาแล้วมากมาย แต่โศกนาฏกรรมแห่งกัรบาลาเป็นหนึ่งในจำนวนน้อยครั้งที่ผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กๆ  สมัครใจที่จะให้ตัวเองต้องพบกับความหิว ความกระหาย การดูถูกเหยียดหยาม และความตาย บนผืนทรายที่ร้อนระอุแห่งกัรบาลา เพราะพวกเขาเชื่อว่าอิหม่ามฮุเซน อ. ยืนหยัดอยู่บนความถูกต้อง ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ตลอดระยะเวลากว่า 1400 ปีมาแล้ว ที่มุสลิมได้เก็บรักษาเรื่องราวแห่งกัรบาลาเอาไว้ในหัวใจของพวกเขาราวกับแผล เปิด เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ลืมการเสียสละอันใหญ่หลวงของอิหม่ามฮุเซน อ. และพลพรรคของท่าน

ผู้นำจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่เป็นที่รู้จักเพราะทำการ เสียสละอย่างใหญ่หลวง แต่ที่กัรบาลา ผู้ชายและผู้หญิงธรรมดาพร้อมกับทารก ที่ก้นบึ้งแห่งหัวใจและวิญญาณของพวกเขาลุกโชนไปด้วยสัจธรรม เลือกความตายแทนความชั่วร้ายและความอ่อนแอ นั่นคือความยิ่งใหญ่ของอิหม่ามฮุเซน อ. นั่นคืออำนาจทางจิตวิญญาณของท่าน ซึ่งสามารถยกมนุษย์ธรรมดาขึ้นสู่ความสูงส่งของความกล้าหาญและความเสียสละอัน ยิ่งใหญ่

ดร.เค เชลเดรค เขียนไว้ว่า “กลุ่มคนทั้งชายและหญิงที่สง่างามกลุ่มนั้นรู้ดีว่าศัตรูที่เผชิญอยู่โดยรอบ นั้นไม่สามารถที่จะเจรจาความด้วยได้ และไม่ใช่แค่พร้อมที่จะต่อสู้เท่านั้น แต่พร้อมที่จะฆ่าด้วย แม้ไม่ได้รับกระทั่งน้ำดื่มสำหรับเด็กๆ พวกเขาก็ยังคงปักหลักอยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์ที่แผดจ้าและผืนทรายที่ไหม้เกรียม ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครเสียกำลังใจแม้ชั่วขณะหนึ่ง ฮุเซนก้าวเดินไปพร้อมกับคณะเล็กๆ ของเขา ไม่ใช่เพื่อลาภยศสรรเสริญ ไม่ใช่เพื่ออำนาจความมั่งคั่ง แต่เพื่อการสละพลีขั้นสูงสุด และสมาชิกทุกคนเผชิญหน้ากับฝ่ายที่ยิ่งกว่าเป็นต่อโดยไม่สะทกสะท้านเลย”

ดร.ราธา คริชนาน เขียนไว้ว่า “ถึงแม้ว่าอิหม่ามฮุเซนจะสละชีวิตของท่านไปเมื่อพันกว่าปีที่แล้ว แต่วิญญาณที่ไม่อาจทำลายได้ของท่านยังคงครอบครองหัวใจของผู้คนมาจนกระทั่ง ถึงทุกวันนี้”

โศกนาฏกรรมแห่งกัรบาลาเกิดขึ้นในปี ค.ศ.680 ที่ริมแม่น้ำยูเฟรติสในประเทศอิรัก แต่กัรบาลามีการอุทธรณ์สากลและจากสภาพความรุนแรงในปัจจุบัน มันยิ่งมีความสอดคล้องตรงกันมากกว่าที่เคยเป็น โศกนาฏกรรมแห่งกัรบาลาและเจตนารมณ์ในการต้านทานโดยไม่ใช้ความรุนแรงของมัน และการสละพลีขั้นสูงสุดนั้น ได้เป็นแรงบันดาลใจให้แก่ผู้คนเช่น มหาตมะ คานธี และบัณฑิตเนห์รู

การเดินขบวนสัตยาเคราะห์เกลือของมหาตมะ คานธี ได้รับแรงบันดาลใจจากการต้านทานโดยไม่ใช้ความรุนแรงของอิหม่ามฮุเซนที่มีต่อ ยะสีด ทรราชย์ผู้กดขี่ คานธีได้ศึกษาประวัติศาสตร์ของอิสลามและอิหม่ามฮุเซน อ. และแสดงความเห็นว่าอิสลามไม่ได้ถูกสืบทอดมาโดยการใช้ดาบ แต่โดยการเสียสละของบรรดานักบุญอย่างเช่นอิหม่ามฮุเซน อ.

มหาตมะ คานธี เขียนไว้ว่า “ผมมีความศรัทธาว่าความเจริญก้าวหน้าของศาสนาอิสลามไม่ได้อาศัยการใช้ดาบของ ผู้นับถือศาสนาเลย แต่เป็นผลมาจากการสละพลีขั้นสูงสุดของฮุเซน อ. นักบุญผู้ยิ่งใหญ่”

เนห์รูถือว่ากัรบาลา แสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งและความมุ่งมั่นของมนุษยชาติ เขาเขียนว่า “การเสียสละของอิหม่ามฮุเซน อ.  เป็นไปเพื่อคนทุกกลุ่มและทุกหมู่เหล่า เป็นตัวอย่างของหนทางแห่งคุณธรรม”

ดร.ราเชนทร์ ปราสาด เขียนไว้ว่า “การเสียสละของอิหม่ามฮุเซน อ. ไม่ได้ถูกจำกัดไว้เพื่อประเทศเดียว หรือชาติเดียว แต่เพื่อประชาชาติที่เป็นภราดรภาพกันของมวลมนุษยชาติ”

ดร.ราธา คริชนาน เขียนว่า “ถึงแม้อิหม่ามฮุเซน อ. จะสละชีวิตไปเกือบ 1,300 ปีแล้ว แต่วิญญาณที่ไม่อาจทำลายได้ของท่านยังคงครอบครองหัวใจของผู้คนมาจนกระทั่ง ถึงทุกวันนี้”

สวามี ชานคาราชารยา กล่าวว่า “การเสียสละของฮุเซน อ. นี่เองที่ได้ทำให้อิสลามยังคงมีชีวิตอยู่ มิฉะนั้นบนโลกนี้คงจะไม่เหลือใครสักคนที่ใช้นามของอิสลาม”

นางซาโรจินี ไนดู เขียนว่า “ฉันขอแสดงความยินดีกับมุสลิมที่ฮุเซน อ. บุรุษผู้ยิ่งใหญ่ได้ถือกำเนิดมา เขาได้รับการกล่าวถึงและได้รับการเคารพนับถือจากทุกประชาคม”

ไซมอน อ๊อกลีย์ (1678-1720) ศาสตราจารย์ภาควิชาภาษาอาหรับ ที่มหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ เขียนไว้ว่า

“หลังจากนั้น ฮุเซนได้ขึ้นขี่ม้าของท่าน แล้วนำกุรอานมาวางไว้เบื้องหน้า และมุ่งมายังคนเหล่านั้น เชิญชวนให้พวกเขาปฏิบัติตามหน้าที่ของตัวเอง โดยเสริมว่า ‘โอ้อัลลอฮ์ พระองค์คือความมั่นใจของฉันทุกครั้งที่พบกับความลำบาก และคือความหวังของฉันทุกครั้งที่พบกับความทุกข์ยาก’… จากนั้นท่านได้เตือนพวกเขาให้รำลึกถึงความดีงามของท่าน กำเนิดอันประเสริฐของท่าน ความยิ่งใหญ่ของอำนาจของท่าน และสายเลือดอันสูงส่งของท่าน และท่านกล่าวว่า ‘จงใคร่ครวญด้วยตัวของพวกท่านเองเถิดว่าคนอย่างฉันไม่ได้ดีกว่าพวกท่านหรอก หรือ ฉันผู้เป็นบุตรของบุตรสาวของท่านศาสดา ซึ่งนอกจากฉันแล้วก็ไม่มีใครอื่นอีกแล้วบนหน้าแผ่นดินนี้ อะลีคือบิดาของฉัน ญะอฺฟัรและฮัมซะฮ์ หัวหน้าของบรรดาผู้พลีชีพ เป็นลุงของฉัน และศาสนทูตของอัลลอฮ์ ผู้ซึ่งความสันติสุขประสบแด่ท่านได้กล่าวถึงฉันและพี่ชายของฉันว่า เราเป็นหัวหน้าของชายหนุ่มในสวนสวรรค์ ถ้าพวกท่านจะเชื่อฉัน สิ่งที่ฉันพูดคือความจริง ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ฉันไม่เคยพูดโกหกเลยตั้งแต่ฉันจำความได้ เพราะอัลลอฮ์ทรงเกลียดชังคนโกหก ถ้าพวกท่านไม่เชื่อฉัน ก็จงถามบรรดาสาวกของศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์เถิด (แล้วท่านก็ระบุชื่อของพวกเขา) และพวกเขาจะบอกท่านในสิ่งเดียวกัน ให้ฉันกลับไปยังสิ่งที่ฉันมีเถิด’ พวกเขาถามว่า ‘อะไรที่ขัดขวางเขาจากการถูกครอบงำโดยญาติที่เหลือของเขา’ ท่านตอบว่า ‘พระเจ้าทรงห้ามไม่ให้ฉันละทิ้งสิทธิ์ของฉันหลังจากได้เป็นบ่าวแล้ว ฉันขอพึ่งพาอัลลอฮ์จากผู้กดขี่ทุกคนที่ไม่เชื่อในวันแห่งการคิดคำนวณ” (The History of the Saracens, ลอนดอน, 1894, หน้า 404-5)

อิกนาซ โอลด์ซิเฮอร์ (1850-1921) นักวิชาการด้านตะวันออกศึกษาผู้มีชื่อเสียงชาวฮังการี ได้เขียนไว้ว่า

“นับตั้งแต่วันอันดำมืดแห่งกัรบาลา ประวัติศาสตร์ของครอบครัวนี้… เป็นเรื่องราวของความทุกข์ทรมานและการประหัตประหารมาอย่างต่อเนื่อง เรื่องราวเหล่านี้ถูกเขียนบรรยายออกมาเป็นบทร้อยแก้วและร้อยกรอง เป็นวรรณกรรมที่กล่าวถึงรายชื่อของบรรดาผู้พลีชีพ เป็นเรื่องราวที่ชีอะฮ์ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ และทำให้เกิดรูปแบบการรวมตัวกันของชีอะฮ์ในสามวันแรกของเดือนมุฮัรรอม และวันที่สิบ (อาชูรอ) ถือเป็นวันแห่งการรำลึกถึงโศกนาฏกรรมที่กัรบาลา ฉากต่างๆ ของโศกนาฏกรรมครั้งนั้นถูกนำมาแสดงในวันแห่งการรำลึกนี้ด้วยในรูปแบบของละคร ‘วันฉลองของเราคือการมาชุมนุมเพื่อแสดงความโศกเศร้าของเรา’ ซึ่งประกอบด้วยบทกวีเพื่อรำลึกถึงผู้พลีชีพจากครอบครัวของท่านศาสดา การร้องไห้และคร่ำครวญต่อความชั่วร้ายและการประหัตประหารที่ครอบครัวของอะลี ได้รับ และการแสดงความโศกเศร้าให้แก่บรรดาผู้พลีชีพ สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ผู้สนับสนุนที่จงรักภักดีไม่สามารถหยุดได้ ‘สะเทือนใจยิ่งกว่าน้ำตาของชาวชีอะฮ์ ได้กลายเป็นสุภาษิตของชาวอาหรับ” (Introduction to Islamic Theology and Law, พรินซ์ตัน, 1981, หน้า 179)

เอ็ดเวิร์ด กิบบอน (1737-1794) นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษผู้มีชื่อเสียงมากที่สุดในยุคของเขา เขียนไว้ว่า

“แม้จะอยู่ในยุคสมัยที่ห่างไกล แต่บรรยากาศของภาพเหตุการณ์ที่น่าเศร้าสลดจากการเสียชีวิตของฮุเซน จะปลุกความรู้สึกเห็นใจของผู้อ่านที่เย็นชาที่สุดได้” (The Decline and Fall of the Roman Empire, ลอนดอน, 1911, เล่ม 5, หน้า 391-2)

ปีเตอร์ เจ. เชลโคว์สกี้ ศาสตราจารย์ด้านตะวันออกกลางศึกษา มหาวิทยาลัยนิวยอร์ค เขียนไว้ว่า “ฮุเซนยอมรับและออกเดินทางจากมักกะฮ์พร้อมกับสมาชิกครอบครัวของเขาและผู้ ติดตามประมาณเจ็ดสิบคน แต่ที่ท้องทุ่งกัรบาลา พวกเขาถูกล้อมโดยกองกำลังที่ซุมอยู่ ซึ่งจัดมาโดยคอลิฟะฮ์ยะสีด แม้จะพ่ายแพ้แน่นอน แต่ฮุเซนก็ปฏิเสธที่จะให้สัตยาบรรณแก่เขา ฮุเซนและคณะของเขาถูกห้อมล้อมโดยกองกำลังของศัตรูและอยู่โดยไม่มีน้ำเลยเป็น เวลาถึงสิบวันในทะเลทรายที่ร้อนระอุแห่งกัรบาลา ในที่สุด ฮุเซน ผู้ใหญ่และเด็กผู้ชายบางคนจากครอบครัวของเขาและคณะของเขา ถูกฟาดฟันด้วยธนูและดาบของกองทัพยะสีด บรรดาผู้หญิงและเด็กๆ ที่เหลืออยู่ถูกจับตัวไปให้ยะสีดที่ดามัสกัสในฐานะเชลย อะบูรอยฮาน อัล-บิรูนี นักประวัติศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงได้บันทึกไว้ว่า “…หลังจากนั้น กระโจมของพวกเขาถูกจุดไฟเผาและร่างเหล่านั้นถูกเหยียบย่ำด้วยเกือกม้า ไม่มีใครในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติเคยเห็นความโหดร้ายเช่นนั้นมาก่อน” (Ta’ziyeh : Ritual and Drama in Iran, นิวยอร์ค, 1979, หน้า 2)

เรย์โนลด์ แอลลีน นิโคลสัน (1868-1945), เซอร์โธมาส อาดัมส์ ศาสตราจารย์ด้านภาษาอาหรับที่มหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ เขียนไว้ว่า “ฮุเซนล้มลง, ถูกทิ่มแทงด้วยธนู และผู้ติดตามที่กล้าหาญของเขาถูกฟาดฟันลงเคียงข้างเขาจนคนสุดท้าย ธรรมเนียมของอิสลาม ซึ่งไม่ค่อยมีการยกเว้นในการเป็นศัตรูกับราชวงศ์อุมัยยะฮ์ ถือว่าฮุเซนเป็นผู้พลีชีพ และยะสีดเป็นผู้สังหารเขา” (A Literary History of the Arabs, แคมบริดจ์, 1930, หน้า 197)

โรเบิร์ต ดูเรย์ ออสบอร์น (1835-1889) ผู้บังคับการกองพลน้อยเบงกอล เขียนไว้ว่า “ฮุเซนมีบุตรคนหนึ่งชื่ออับดุลลอฮ์ อายุเพียงแค่หนึ่งขวบ เขาได้ติดตามบิดาของเขาไปในกองคาราวานที่น่าหวาดกลัวนี้ด้วย เขารู้สึกสงสารด้วยเสียงร้องไห้ของลูก เขาจึงอุ้มทารกน้อยไว้ในอ้อมแขนแล้วร้องไห้ ทันใดนั้นเอง ดอกธนูจากฝ่ายศัตรูได้พุ่งเสียบเข้าที่หูของเด็กน้อย และเขาได้สิ้นใจในอ้อมแขนของบิดา ฮุเซนวางศพของทารกน้อยบนพื้นดิน ‘เรามาจากอัลลอฮฺ และเราคืนกลับไปยังพระองค์’ เขาร้องขึ้นว่า ‘โอ้พระผู้อภิบาล โปรดประทานความเข้มแข็งให้แก่ฉันเพื่อแบกรับเคราะห์ร้ายเหล่านี้ด้วย เถิด’… แม้จะอ่อนเปลี้ยด้วยความกระหาย สิ้นกำลังด้วยบาดแผล แต่เขายังต่อสู้ด้วยความห้าวหาญเต็มกำลัง และสังหารศัตรูได้หลายคน ในที่สุดเขาถูกฟันจากด้านหลัง พร้อมกับหอกที่พุ่งผ่านแผ่นหลังและทำให้เขาล้มลงกับพื้น ขณะที่ผู้ลงมือครั้งสุดท้ายดึงอาวุธของเขากลับไป บุตรชายของอะลีกลิ้งไปบนพื้นเป็นศพ ศีรษะถูกตัดออกจากร่าง ร่างนั้นถูกเหยียบย่ำอยู่ใต้เกือกม้า เช้าวันต่อมา บรรดาสตรีและลูกชายที่รอดชีวิตถูกนำตัวไปยังกูฟะฮ์ ร่างของฮุเซนและผู้ติดตามของเขาถูกทิ้งไว้โดยไม่มีการฝัง ณ จุดที่พวกเขาถูกสังหาร เป็นเวลาสามวันที่พวกเขาต้องนอนอยู่ท่ามกลางแสงแดดและน้ำค้างยามค่ำคืน นกแร้งและสัตว์ที่ออกหากิน แต่หลังจากนั้น ชาวบ้านจาหมู่บ้านใกล้เคียงแห่งหนึ่งเกิดความหวาดกลัวว่าร่างของหลานชายของ ท่านศาสดาไม่ควรจะถูกทอดทิ้งอย่างน่าอับอายให้แก่สัตว์ร้ายสกปรกที่อยู่ใน ท้องทุ่งแห่งนั้น พวกเขาไม่กลัวความโกรธของอุบัยดิลละฮ์ และได้ทำการฝังร่างของเขาและเหล่ามิตรสหายผู้เป็นวีรบุรุษของเขา” (Islam Under the Arabs, เดลาแวร์, 1976, หน้า 126-7)

เซอร์วิลเลียม มัวร์ (1819-1905) นักวิชาการและรัฐบุรุษชาวสก๊อต และดำรงตำแหน่งเลขาธิการต่างประเทศยังรัฐบาลอินเดีย และยังเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดทางตะวันออกเฉียงเหนือ ได้เขียนไว้ว่า “โศกนาฏกรรมแห่งกัรบาลาไม่ได้กำหนดเพียงแค่ชะตากรรมของคอลิฟะฮ์เท่านั้น แต่ยังกำหนดชะตากรรมของอาณาจักรอิสลามภายหลังจากที่ระบอบคอลิฟะฮ์เสื่อมถอย และสูญหายไปแล้วด้วย” (Annals of the Early Caliphate, ลอนดอน, 1883, หน้า 441-2)

กัรบาลาแสดงให้เห็นถึงโฉมหน้าที่แท้จริงของ การต่อสู้กับความอยุติธรรม – การต้านทานโดยไม่ใช้ความรุนแรง ไม่ใช่การเอาชีวิตแต่เป็นการสละชีวิตเพื่ออิสลาม และไม่เป็นการผิดที่ผิดเวลาเลยที่จะหยิบยกเอาคำกล่าวของกวีชาวอินเดียผู้ มีชื่อเสียงบางท่านมาเขียนไว้

–  เมื่อมนุษยชาติตื่นขึ้น ทุกหมู่ชนจะอ้างว่าฮุเซนเป็นของพวกตน

– ในการพลีชีพของอิหม่ามฮุเซน อ. ยะสีดได้ตายลงแล้ว เพราะอิสลามฟื้นคืนชีพขึ้นหลังจากกัรบาลา

แปล/เรียบเรียง กองบรรณาธิการเอบีนิวส์ทูเดย์

ที่มา http://www.islamicwisdom.net/