ไวรัลฮากากลางสภา: เสียงแห่งการต่อสู้ของชาวเมารีต่อสนธิสัญญาไวตังกิ

14

วิดีโอไวรัลจากรัฐสภานิวซีแลนด์แสดงภาพ ฮานา ราวิติ ไมปี คลาร์ก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเชื้อสายเมารี ลุกขึ้นเต้นฮากาในที่ประชุมอย่างทรงพลัง การแสดงนี้ไม่ใช่เพียงการประท้วง แต่เป็นสัญลักษณ์ของจิตวิญญาณและความภาคภูมิใจของชาวเมารี ที่ยืนหยัดเพื่อต่อต้านการตีความใหม่ของ สนธิสัญญาไวตังกิ (Treaty of Waitangi) ซึ่งพวกเขามองว่าเป็นภัยต่อสิทธิของชนพื้นเมือง

เหตุการณ์นี้ไม่เพียงสร้างกระแสในนิวซีแลนด์ แต่ยังดึงดูดความสนใจจากทั่วโลกต่อความขัดแย้งทางประวัติศาสตร์ที่ยืดเยื้อมานานหลายศตวรรษ สนธิสัญญาที่ควรจะเป็นเครื่องมือสร้างความเท่าเทียม กลับถูกมองว่าเป็นต้นตอของการลิดรอนสิทธิทางวัฒนธรรมและทรัพยากรของชาวเมารี

สนธิสัญญาไวตังกิ: จากความหวังสู่ความขัดแย้ง

สนธิสัญญาไวตังกิ ลงนามในปี 1840 ระหว่างผู้นำชนพื้นเมืองเมารีกับรัฐบาลอังกฤษ โดยตั้งเป้าหมายเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่เท่าเทียมและแบ่งปันอำนาจการปกครอง อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างในการตีความระหว่างฉบับภาษาเมารีและภาษาอังกฤษได้กลายเป็นปัญหาหลัก:

  1. ความแตกต่างทางภาษา:

o ฉบับภาษาอังกฤษระบุว่าชาวเมารีจะ “มอบอำนาจอธิปไตย” (sovereignty) ให้แก่รัฐบาลอังกฤษ

o แต่ในฉบับภาษาเมารี คำว่า “กาวานาตังกา” (kāwanatanga) ถูกตีความว่าเป็น “การบริหารจัดการ” ไม่ใช่การมอบอำนาจอธิปไตยทั้งหมด

  1. การปกป้องสิทธิในทรัพยากร:
    สนธิสัญญารับรองสิทธิของชาวเมารีในที่ดินและทรัพยากรแต่ในทางปฏิบัติ รัฐบาลอังกฤษกลับริบที่ดินจำนวนมากโดยอ้างอำนาจตามฉบับภาษาอังกฤษ
  2. ผลกระทบต่อวัฒนธรรม:
    นโยบายอาณานิคมที่เน้นการผสมผสานวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาแทนที่วัฒนธรรมดั้งเดิมทำให้ชาวเมารีสูญเสียอัตลักษณ์ทางภาษาและวิถีชีวิตดั้งเดิม

 

ไวรัลฮากา: การต่อสู้ผ่านจิตวิญญาณและวัฒนธรรม

การเต้น ฮากา กลางสภาโดยไมปี-คลาร์กสะท้อนถึงพลังใจและความมุ่งมั่นของชาวเมารี ฮากาไม่ใช่แค่การแสดงออกทางกาย แต่เป็นเครื่องมือปลุกพลังใจของชุมชนเมารีมาตั้งแต่สมัยโบราณ ฮากาถูกใช้ในการเตรียมความพร้อมก่อนออกศึก เพื่อปลุกใจและแสดงถึงความสามัคคี

ฮากากลางสภา ในครั้งนี้ เป็นมากกว่าการประท้วง แต่เป็นการส่งข้อความถึงรัฐบาลและประชาชนว่า ชาวเมารียังคงยืนหยัดเพื่อสิทธิและอัตลักษณ์ของตนเอง การกระทำนี้เกิดขึ้นพร้อมกับการเดินขบวนของชาวเมารีนับพันคนจากเมืองโรโตรัวสู่กรุงเวลลิงตัน เพื่อคัดค้านร่างกฎหมายที่พวกเขามองว่าจะลดทอนสิทธิที่เหลืออยู่

ความสำคัญของการฟังเสียงชนพื้นเมือง

เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดคำถามสำคัญ: รัฐบาลนิวซีแลนด์จะทำอย่างไรเพื่อสร้างความสมดุลระหว่างการบริหารประเทศกับการรักษาสิทธิของชนพื้นเมือง? การฟังเสียงของชาวเมารีเป็นสิ่งจำเป็นในการแก้ไขความขัดแย้ง และนี่คือบทเรียนที่เราควรพิจารณา:

  1. เคารพข้อตกลงที่เท่าเทียม:สนธิสัญญาไวตังกิเป็นข้อตกลงที่ควรสะท้อนถึงความเป็นธรรมรัฐบาลต้องปรับปรุงการตีความและการบังคับใช้ให้ตรงกับเจตนารมณ์ดั้งเดิม
  2. ปกป้องวัฒนธรรมและทรัพยากร:ชาวเมารีไม่เพียงสูญเสียที่ดินแต่ยังสูญเสียวัฒนธรรมและมรดกทางจิตวิญญาณ การแก้ปัญหาควรมุ่งเน้นการฟื้นฟูและเคารพคุณค่าทางวัฒนธรรม
  3. สร้างบทสนทนาเพื่อความเข้าใจ:การแก้ไขความขัดแย้งในระยะยาวต้องอาศัยการพูดคุยอย่างจริงใจและการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย

มุมมองของอิสลามต่อสนธิสัญญาและสิทธิชนพื้นเมือง

ในมุมมองของอิสลาม ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ สนธิสัญญาไวตังกิ สามารถพิจารณาได้ผ่านหลักการที่เน้น การรักษาสัญญา ความยุติธรรม และสิทธิชนพื้นเมือง ดังตัวบทภาษาอาหรับที่สนับสนุนดังต่อไปนี้:

  1. การเคารพสนธิสัญญาและคำมั่นสัญญา

อิสลามเน้นย้ำความสำคัญของการรักษาคำมั่นสัญญา ซึ่งเป็นหนึ่งในคุณลักษณะของผู้ศรัทธา ดังที่อัลกุรอานกล่าวว่า:

وَأَوْفُوا بِالْعَهْدِ ۖ إِنَّ الْعَهْدَ كَانَ مَسْئُولًا
“และจงปฏิบัติตามคำมั่นสัญญา แท้จริงคำมั่นสัญญาจะต้องถูกสอบถาม”
(อัลกุรอาน 17:34)

ในกรณีของสนธิสัญญาไวตังกิ การบิดเบือนความหมายและการละเมิดข้อตกลงโดยรัฐบาลอังกฤษถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักศีลธรรมในอิสลาม

  1. สิทธิของชนพื้นเมือง

ศาสนาอิสลามให้ความสำคัญกับการปกป้องสิทธิของผู้ที่ถูกกดขี่ ดังหะดีษของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) กล่าวว่า:

مَنْ ظَلَمَ مُعَاهِداً أَوِ انْتَقَصَهُ حَقًّا أَوْ كَلَّفَهُ فَوْقَ طَاقَتِهِ أَوْ أَخَذَ مِنْهُ شَيْئًا بِغَيْرِ طِيبِ نَفْسٍ، فَأَنَا حَجِيجُهُ يَوْمَ الْقِيَامَةِ
“ผู้ใดกดขี่ผู้ที่ทำสนธิสัญญากับเขา หรือริบสิทธิของเขา หรือทำให้เขาลำบากเกินความสามารถ หรือยึดสิ่งใดจากเขาโดยมิชอบธรรม ฉันจะเป็นศัตรูกับเขาในวันกิยามะฮ์”
(บันทึกโดยอบูดาวูด)

การละเมิดสิทธิในที่ดินและทรัพยากรของชาวเมารีเป็นการขัดต่อหลักการนี้โดยตรง

  1. การปกป้องทรัพยากรและแผ่นดิน

อิสลามถือว่าทรัพยากรธรรมชาติเป็น อะมานะฮ์ (ความไว้วางใจ) ที่พระเจ้ามอบให้มนุษย์เพื่อดูแลและใช้อย่างยุติธรรม อัลกุรอานกล่าวว่า:

وَلَا تَأْكُلُوا أَمْوَالَكُمْ بَيْنَكُمْ بِالْبَاطِلِ
“และอย่าได้ยึดครองทรัพย์สินของผู้อื่นอย่างไม่ถูกต้อง”
(อัลกุรอาน 2:188)

การริบที่ดินและทรัพยากรจากชาวเมารีโดยไม่เป็นธรรมถือเป็นการละเมิดหลักการนี้

  1. การยอมรับและเคารพวัฒนธรรมที่หลากหลาย

อิสลามสนับสนุนการเคารพความหลากหลายทางวัฒนธรรมและเผ่าพันธุ์เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ดังที่อัลกุรอานกล่าวว่า:

يَا أَيُّهَا النَّاسُ إِنَّا خَلَقْنَاكُمْ مِنْ ذَكَرٍ وَأُنثَىٰ وَجَعَلْنَاكُمْ شُعُوبًا وَقَبَائِلَ لِتَعَارَفُوا ۚ إِنَّ أَكْرَمَكُمْ عِندَ اللَّهِ أَتْقَاكُمْ
“โอ้มนุษยชาติ! เราได้สร้างพวกเจ้าจากชายคนหนึ่งและหญิงคนหนึ่ง และเราได้ทำให้พวกเจ้าเป็นหมู่ชนและเผ่าพันธุ์ เพื่อพวกเจ้าจะได้รู้จักกัน”
(อัลกุรอาน 49:13)

การลดคุณค่าภาษาและวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวเมารี เป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักการนี้

  1. ความยุติธรรมในระบบการปกครอง

ความยุติธรรมคือหัวใจสำคัญของการปกครองที่ดีในอิสลาม โดยเน้นให้ความยุติธรรมครอบคลุมถึงทุกกลุ่มในสังคม รวมถึงชนกลุ่มน้อย ดังที่อัลกุรอานกล่าวว่า:

يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا كُونُوا قَوَّامِينَ بِالْقِسْطِ شُهَدَاءَ لِلَّهِ وَلَوْ عَلَىٰ أَنفُسِكُمْ أَوِ الْوَالِدَيْنِ وَالْأَقْرَبِينَ
“โอ้ผู้ศรัทธา! จงยืนหยัดเพื่ออัลลอฮ์ และจงเป็นพยานด้วยความยุติธรรม แม้ว่าจะเป็นการต่อต้านตัวเองหรือบิดามารดาและญาติสนิทของพวกเจ้า”
(อัลกุรอาน 4:135)

บทเรียนจากฮากากลางสภา

ฮากากลางสภา เป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อสิทธิ ความยุติธรรม และความเป็นตัวตน การยืนหยัดของชาวเมารีสะท้อนถึงพลังจิตวิญญาณที่แข็งแกร่ง และเตือนเราว่าการปกครองที่ยุติธรรมไม่ควรมองข้ามสิทธิของชนพื้นเมือง

สำหรับนิวซีแลนด์ การเรียนรู้จากอดีตและการสร้างความเข้าใจในปัจจุบันจะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างอนาคตที่เท่าเทียมและสมดุลสำหรับทุกคน และสำหรับโลกใบนี้ เหตุการณ์นี้เตือนให้เราตระหนักถึงความสำคัญของการเคารพวัฒนธรรมและความหลากหลาย ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของสังคมที่ยุติธรรม