เห็น ข่าวแวบๆ ว่า…ช่วงวันพฤหัสฯ หรือวันวานที่ผ่านมา รัฐบาลอิสราเอลตัดสินใจที่จะ พักรบชั่วคราว กับขบวนการฮามาสในปาเลสไตน์ ด้วยการหยุดโจมตีทางอากาศ หยุดยิงปืนใหญ่ใส่ฉนวนกาซา เป็นเวลาประมาณ 5 หรือ 6 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย เพื่อให้ใครต่อใครพอมีเวลาหายใจ หายคอ มีโอกาสส่งข้าว ส่งน้ำ ดูแลคนเจ็บ คนตาย กันมั่ง เรียกว่า…ถือเป็นการแสดงออกถึงความสุดแสนจะเมตตา กรุณา ตามแบบฉบับยิวๆ ได้อย่างน่าทุเรศ เวทนา เอามากๆ…
แต่หลังจากนั้น…จะเปิดฉากรบกันต่อ จะถล่มฉนวนกาซาให้ราบคาบเป็นหน้ากลองหรือไม่ อย่างไรนั้น คงต้องคอยติดตามกันต่อ เพราะแม้ว่าจำนวนชาวปาเลสไตน์ที่สิ้นชีพิตักษัยไปเพราะกระสุนปืนใหญ่ และการทิ้งระเบิดทางอากาศของกองทัพอิสราเอล จะปาเข้าไปประมาณกว่า 200 คนเป็นอย่างน้อย โดยที่เกือบ 80 เปอร์เซ็นต์เป็นพลเรือน แถมยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ เกือบครึ่งร้อย บาดเจ็บไม่น้อยกว่าเกือบ 2,000 คน เป็นเด็กไม่ต่ำกว่า 390 เป็นผู้หญิงอีกกว่า 250 ราย บ้านเรือนพังพินาศไม่ต่ำกว่า 2,000 หลัง ผู้คนเกือบ 20,000 ราย ต้องกลายเป็นผู้อพยพลี้ภัยอยู่ภายใต้การดูแลของสหประชาชาติ แต่สิ่งเหล่านี้…ดูเหมือนจะไม่ได้ทำให้รัฐบาลอิสราเอล กองทัพอิสราเอล ลดความกระเหี้ยนกระหือรือที่จะฆ่า ที่จะสังหารพร่าผลาญชีวิตมนุษย์ลงไปเลยแม้แต่น้อย…
อย่างเช่น นาง Ayelet Shaked สมาชิกรัฐสภาอิสราเอล นักการเมืองจากพรรคการเมืองฝ่ายชาตินิยมสุดโต่งอย่างพรรค Jewish Home Party ที่ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ แสดงความเห็นต่อสาธารณชนอย่างเปิดเผยและอย่างสุดแสนจะเหี้ยมเกรียมว่า การพร่าผลาญสังหารชาวปาเลสไตน์นั้น นอกจากจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมแล้ว ผู้ที่สมควรจะถูกฆ่าเป็นอย่างยิ่ง ก็คือบรรดาผู้หญิงที่เป็นแม่ๆ ของชาวปาเลสไตน์ทั้งหลาย ด้วยเหตุผลที่ว่า “ในฐานะที่แม่ๆ เหล่านี้คือผู้ให้กำเนิดผู้ก่อการร้าย หรืองูร้าย (Little Snakes) พวกเธอจึงสมควรตาย บ้านเรือนควรถูกรื้อทิ้ง เพื่อที่จะไม่ให้พวกเธอสามารถผลิตผู้ก่อการร้ายขึ้นมาได้อีก” นี่…เรียกว่า ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นผู้หญิงแท้ๆ แต่ยังเหี้ย…มม์ม์ม์ ชนิด ม.ม้าแทบวิ่งไล่ไม่ทัน…
ด้วยทัศนคติทำนองนี้นี่เอง…ที่ทำให้ประธานาธิบดี Tayyip Erdogan แห่งตุรกี อดไม่ได้ที่ต้องหยิบเอาความคิด ความเห็น ของนักการเมืองอิสราเอลในปัจจุบัน มาเปรียบเทียบกับทัศนะคติของ ฮิตเลอร์ หรือของพวกนาซีในเยอรมัน ว่าแทบไม่ได้ต่างอะไรไปจากกันและกันเอาเลยแม้แต่นิด คือเป็นทัศนคติของผู้ที่เห็นดี เห็นงามกับการ ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เพียงแต่ผู้ที่ฮิตเลอร์และนาซีเยอรมันในอดีต ต้องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์นั้น ก็คือ ชาวยิว ซะเป็นหลัก แต่ที่ผู้ที่นักการเมืองอิสราเอลในปัจจุบันต้องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ก็คือ บรรดา ชาวปาเลสไตน์ ในช่วง ณ ขณะนี้นั่นเอง…
ดังนั้น…หลังการ พักรบชั่วคราว ประมาณ 5-6 ชั่วโมงผ่านได้พ้นไปแล้ว โอกาสที่อิสราเอลจะเปิดฉากถล่มฉนวนกาซากันต่อ จึงมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ แถมยังมีแนวโน้มด้วยว่า การถล่มคราวนี้…อาจไม่ใช่แค่ถล่มกันทางอากาศ หรือการใช้กระสุนปืนใหญ่ตอบโต้กับจรวดของพวกฮามาสเท่านั้น แต่อาจไปไกลถึงขั้น ปฏิบัติการภาคพื้นดิน ส่งกำลังทหารอิสราเอลออกกวาดล้าง บุกรุกเข้าไปในดินแดนปาเลสไตน์เอาเลยทีเดียว โดยเฉพาะหลังจากที่โฆษกกองกำลังป้องกันอิสราเอล (Israel Defense Force-IDF) ได้ให้สัมภาษณ์ยืนยันความเป็นไปได้กับนิตยสารไทมส์ครั้งล่าสุด รวมทั้งเมื่อพิจารณาจากท่าทีของรัฐมนตรีต่างประเทศอิสราเอล นาย Avigdor Lieberman ที่ออกมากระตุ้นให้กองทัพอิสราเอลก้าวต่อไปด้วยปฏิบัติการภาคพื้นดิน โดยอ้างเหตุผลเอาไว้ว่า “เนื่องจากผู้ก่อการร้ายปาเลสไตน์หรือพวกฮามาส มุ่งที่จะใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์ เพื่อปกป้องการโจมตีอิสราเอลด้วยจรวด ปฏิบัติการทางอากาศเพียงอย่างเดียว จึงไม่สามารถหยุดยั้งการกระทำเหล่านี้ได้…”
แน่ล่ะว่า…ถ้าปฏิบัติการทางทหารภาคพื้นดินของอิสราเอลเริ่มต้นขึ้นมาเมื่อ ไหร่ จำนวนคนเจ็บ คนตาย ตลอดไปจนบรรยากาศแห่งความโหดเหี้ยม อำมหิต ย่อมต้องหนักหนา สาหัส ยิ่งไปกว่านี้ไม่รู้อีกกี่สิบ กี่ร้อยเท่า ถ้าหากใครที่แก่ชราพอจะจดจำเหตุการณ์สังหารหมู่ชาวปาเลสไตน์โดยทหารอิสราเอล ที่ถูกเรียกว่า การสังหารหมู่ที่ดีร์ ยาซิน หรือ การสังหารหมู่ที่ค่ายซาบราและชาทีลา ในช่วงปี ค.ศ.1982 หรือเมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้วได้บ้าง คงพอนึกภาพออก แต่ถ้ายังนึกไม่ออก ต้องลองไปหาอ่านบันทึกที่หัวหน้าตัวแทนคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ นาย J. De Reynier ผู้มีโอกาสเข้าไปในหมู่บ้านดีร์ ยาซิน ซึ่งได้บรรยายเอาไว้ว่า “ชาวยิวได้ใช้ทั้งปืน ระเบิด และมีด ตัดหัวเหยื่อบางคน หักแขน-ขาเด็กต่อหน้าต่อตาของแม่ ผ่าท้องผู้หญิงมีครรภ์ และเชือดเด็กต่อหน้าคนเหล่านั้น” ก็คงพอนั่งนึก นั่งจินตนาการได้บ้าง…
หรือไม่งั้นต้องย้อนกลับไปอ่านรายงานข่าวของผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ดิ อินดิเพนเดนต์ นาย Robert Fisk ที่มีโอกาสเข้าไปเห็นเหตุการณ์ในค่ายผู้อพยพชาวปาเลสไตน์ที่ซาบราและชาทีลา ที่บรรยายไว้ว่า “ผมไม่เคยเห็นเด็กไร้เดียง สาที่ถูกเข่นฆ่าเช่นนี้มาก่อนเลย ผู้อพยพชาวปาเลสไตน์ทั้งๆ ที่เป็นผู้หญิง เด็ก ผู้ชาย นอนตายกันเกลื่อน โดยที่มือ แขน และขาหายไป บางคนหัวขาดหรือไม่ก็ไส้ทะลัก ศพทารกหลายรายไม่มีหัว จะเป็นเพราะสะเก็ดระเบิดของทหารอิสราเอลพุ่งใส่ ทั้งๆ ที่หลบภัยอยู่ในที่พักของสหประชาชาติ หรือด้วยเหตุผลอื่นใดก็ไม่ทราบได้ หน้าอาคารกองบัญชาการทหารฟิอิญานของสหประชาติที่กำลังไฟไหม้ ผมพบเด็กผู้หญิงคนหนึ่งยังมีชีวิตอยู่ กอดศพชายผมสีเทา เขย่าศพไป-มา พร้อมกับร่ำไห้ ทหารสหประชาชาติได้แต่ยืนอยู่โดยไม่พูดจาใดๆ แต่ในมือของเขามีร่างเด็กคนหนึ่งที่หัวขาดออกจากลำตัว…การบุกโจมตีเป็น เวลา 10 วันของทหารอิสราเอล เป็นไปอย่างเหี้ยมโหด ทารุณ จนไม่น่าเชื่อว่าจะมีใครในโลกนี้จะยอมให้อภัยต่อการสังหารหมู่คราวนี้ ได้…”
แต่ก็นั่นแหละ…เอาเข้าจริงๆ โลกนั้นคงลืมไปแล้ว การกระทำต่อชาวปาเลสไตน์โดยกองทัพอิสราเอล จึงได้เกิดขึ้นแบบซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า ซ้ำๆ ซากๆ จนแทบกลายเป็น สิ่งปกติธรรมดา ไปแล้วก็ว่าได้ และด้วยความเป็นปกติธรรมดาเช่นนี้นี่เอง ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในโลกอย่างรัฐบาลอเมริกัน ซึ่งมักแสดงออกถึงความรัก หวงแหน ในสิทธิมนุษยชนแบบชนิดสุดลิ่มทิ่มริดสีดวงทวาร ถึงได้ อมสากกะเบือ เอาไว้คาปาก นอกจากจะเปิดไฟเขียวให้อิสราเอลสามารถตอบโต้ใครก็ได้ที่เห็นว่าเป็นภัย คุกคามต่ออิสราเอล ล่าสุด…ยังได้ตัดสินใจอนุมัติความช่วยเหลือทางทหารให้กับกองทัพอิสราเอล ควักเอาเงินภาษีราษฎรอเมริกันไปจ่ายให้กับอิสราเอลถึงปีละ 3.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ โลกทั้งโลกมันถึงได้เลวร้ายเช่นนี้มาโดยตลอด…
ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้จาก John F. Kennedy… “Mankind must put an end to war…or war put an end to mankind.- มนุษยชาติต้องสร้างจุดจบในการก่อสงคราม หรือมิฉะนั้นสงครามจะสร้างจุดจบให้กับมวลมนุษยชาติเสียเอง…”.
บทความชิ้นนี้เขียนโดย ท่านขุนน้อย
เผยแพร่ครั้งแรกในเว็บไซต์ ไทยโพสต์ เมื่อ Friday, 18 July, 2014 – 00:00
ขอบคุณเนื้อหาดีๆจาก ไทยโพสต์
ที่มา http://www.thaipost.net/news/180714/93287