parstoday – รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของอิหร่านออกแถลงการณ์เมื่อวันเสาร์ ประณามมาตรการกีดกันด้านวีซ่าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ว่า การแบนมุสลิมไม่ให้เข้าอเมริกาถือเป็นของขวัญชิ้นใหญ่ให้กับกลุ่มสุดโต่งอันเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่
ซารีฟ รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน โพสต์บนทวิตเตอร์ส่วนตัวว่ามาตรการระงับการออกวีซ่าเป็นเวลาเบื้องต้น 90 วัน ให้แก่พลเมืองของ 7 ประเทศมุสลิมแสดงให้เห็นถึงการไร้เหตุผลของอเมริกาตามสิ่งที่ได้กล่าวอ้าง
ซารีฟ รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน กล่าวว่า แน่นอนว่ารัฐบาลเตหะรานมีความเคารพต่อเสรีภาพของพลเมืองอเมริกัน แต่นโยบายอันก้าวร้าวดังกล่าวของรัฐบาลวอชิงตันส่งผลให้อิหร่านจำเป็นต้องใช้นโยบายตอบสนอง “ในระดับเดียวกัน” จนกว่าสหรัฐจะยกเลิกมาตรการคุกคามด้านสิทธิต่อชาวอิหร่าน
นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศของอิหร่านได้ออกแถลงการณ์ว่า ในสถานการณ์ที่ประชาคมระหว่างประเทศต้องการเจรจาเพื่อที่จะขุดรากถอนโคนความรุนแรงและความคลั่งไคล้ และในช่วงเวลาที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติรับข้อเสนอของอิหร่านที่จะให้โลกมีส่วนร่วมในการต่อต้านการใช้ความรุนแรงและการก่อการร้าย อเมริกาก็ได้กระทำในสิ่งที่ไร้เหตุผล มีการเลือกปฏิบัติร่วมกันกับพลเมืองของประเทศที่นับถือศาสนาอิสลามซึ่งเป็นการปูพื้นทางในการใช้ความรุนแรงและการส่งเสริมความคลั่งไคล้มากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ทรัมป์สร้างความตกตะลึงไปทั่วโลก ด้วยการออกมาตรการระงับการออกวีซ่าเป็นเวลาเบื้องต้น 90 วัน ให้แก่พลเมืองของ 7 ประเทศยกเว้นเจ้าหน้าที่รัฐและเจ้าหน้าที่การทูต ได้แก่ อิรัก อิหร่าน เยเมน ซีเรีย โซมาเลีย ลิเบีย และซูดาน พร้อมทั้งสั่งระงับโครงการตั้งถิ่นฐานของผู้ลี้ภัยทุกสัญชาติเป็นเวลาอย่างน้อย 120 วัน แต่ในกรณีของผู้ลี้ภัยชาวซีเรียให้ห้ามเข้าสหรัฐ “อย่างไม่มีกำหนด” หรือจนกว่าจะได้รับการพิจารณาว่า “ไม่ใช่ภัยคุกคาม” อีกต่อไป ซึ่งทรัมป์ยืนยันว่าเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่มาตรการควบคุมพรมแดน และการลดความเสี่ยงจากการเกิดเหตุก่อการร้ายบนแผ่นดินอเมริกา