วอชิงตัน – ด้วยความตื่นตัวจากการเพิ่มจำนวนขึ้นของธุรกิจในอเมริกาที่ประกาศตัวว่าเป็น “เขตปลอดมุสลิม” (Muslim-free zones) กลุ่มสิทธิพลเมืองกลุ่มหนึ่งจึงได้เรียกร้องให้รัฐบาลกลางสอบสวนในเรื่องความถูกต้องตามกฎหมายของการปฏิบัตินี้
สภาความร่วมมืออเมริกัน-อิสลาม (Council on American-Islamic Relations) หรือ CAIR เป็นกลุ่มตัวแทนเพื่อสิทธิและความเท่าเทียมของมุสลิมที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดของประเทศ CAIR ระบุว่า ธุรกิจต่างๆ ที่มีการแบนลูกค้ามุสลิมกำลังแพร่ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว และอาจละเมิดทั้งกฎหมายสิทธิพลเมืองและรัฐธรรมนูญ ที่ให้การรับรองสิทธิแก่ชาวอเมริกันในการปฏิบัติตามศาสนาของตนอย่างอิสระโดยไม่มีการแทรกแซง
“กระทรวงยุติธรรมมีความสามารถที่จะสะกัดกั้นบรรยากาศที่ผิดกฎหมายและไม่เป็นอเมริกันในระดับชาติได้ และป้องกันไม่ให้มันกระทบต่อสิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียมทางศาสนาที่เราทุกคนหวงแหน” อิบรอฮีม ฮูเปอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารของ CAIR กล่าวในแถลงการณ์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว “ต้องมีแถลงการณ์ที่ชัดเจนจากกระทรวงยุติธรรมว่าการปฏิบัติทางธุรกิจที่ไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญเช่นนั้นจะไม่ได้รับอนุมัติ และเจ้าของธุรกิจที่ปฏิเสธการบริการแก่ผู้ใดด้วยเหตุผลทางศาสนาของพวกเขาจะต้องถูกดำเนินการตามกฎหมาย”
ร้านขายปืนแห่งหนึ่งในนิวยอร์คประกาศตัวว่าเป็น “เขตปลอดมุสลิม” เมื่อเดือนที่แล้ว หลังจากประกาศนโยบายใหม่ของเขาบนเฟสบุ๊คแล้ว จอห์น สวาร์ตส์ เจ้าของร้านได้เหตุผลของเขาในการให้สัมภาษณ์กับสื่อท้องถิ่นว่า
“บนเฟสบุ๊คของผม ผมคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และผมพูดไปหมดแล้ว มีองค์การหนึ่งเดียวเท่านั้นที่กำลังสนับสนุนการเข่นฆ่าชาวอเมริกัน พยายามที่จะให้มีผู้ก่อการร้ายในพื้นที่ท้องถิ่น และบางส่วนก็ประสบความสำเร็จ พวกเขาไม่ใช่ชาวแคนาดา พวกเขาไม่ใช่ชาวฝรั่งเศส พวกเขาคือมุสลิม” สวาร์ตซ์บอกกับสำนักข่าว WNYT ในรัฐอัลบานี โดยไม่สนใจข้อเท็จจริงว่า ผู้ก่อการร้ายหัวรุนแรงมีเปอร์เซ็นต์เพียงน้อยนิดเท่านั้นจากจำนวนมุสลิมทั่วโลกที่มีประมาณ 1,600 ล้านคน
ความเคลื่อนไหวของสวาร์ตส์ทำให้เกิดปฏิกิริยาผสมผสานกัน ซาแมนธ่า ดีมาสซิโอจาก WNYT ระบุว่า ภายในหนึ่งสัปดาห์ที่เขาเขียนโพสต์ สวาร์ตส์ได้ “เปลี่ยนท่าทีเล็กน้อย โดยบอกว่าเขาจะไม่ขายปืนให้กับใครก็ตามที่เขาไม่รู้สึกสะดวกใจด้วย ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใครก็ตาม”
ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเห็นด้วยว่า การก่อการร้ายในพื้นที่ ที่ขับเคลื่อนโดยกลุ่มเชิดชูคนผิวขาวและกลุ่มหัวรุนแรงปีกขวา เป็นภัยคุกคามต่อความปลอดภัยที่ร้ายแรงที่สุด เมื่อเดือนมกราคม เฮดี เบริช ผู้อำนวยการโครงการข่าวกรองของศูนย์กฎหมายเพื่อคนยากจนภาคใต้ (Souther Poverty Law Center) หรือ SPLC บอกกับสำนักข่าว MintPress ว่า “เห็นได้ชัดว่า การเพิ่มจำนวนของกลุ่มเกลียดชังนี้เป็นผลสะท้อนของปฏิกิริยารุนแรงในประเทศนี้ที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงทางด้านประชากร” และในเดือนมิถุนายน มูลนิธิอเมริกาใหม่ (New America Foundation) ศูนย์การวิจัยไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดที่มีฐานอยู่ในวอชิงตัน ได้เปิดเผยการศึกษาฉบับหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า มีผู้ถูกสังหารในสหรัฐฯ โดยกลุ่มก่อการร้ายปีกขวามากกว่าการโจมตีของกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรง นับตั้งแต่เหตุการณ์ 9/11
ตามข้อมูลของ CAIR ธุรกิจต่างๆ ในรัฐเคนทักกี้, ฟลอริด้า, อาร์คันซอ และนิวแฮมเชียร์ ได้เริ่มใช้นโยบายที่แบนมุสลิมด้วย ถึงแม้กฎหมายสิทธิพลเมืองปี 1964 ถือว่ามันเป็นความผิดทางอาญาสำหรับสถานที่ใดก็ตามที่เป็น “ที่พักอาศัยของประชาชน” ที่ปฏิเสธการให้บริการแก่ผู้ใดด้วยเหตุผลทางศาสนา, เชื้อชาติ, สีผิว หรือชาติกำเนิด
ฮูเปอร์เปรียบเทียบ “เขตปลอดมุสลิม” กับการแบ่งแยกทางเชื้อชาติ และการปฏิบัติทางธุรกิจในประวัติศาสตร์ที่แบนลูกค้าผิวดำ
“การประกาศอย่างหัวรั้นเหล่านี้ไม่แตกต่างอะไรกับป้าย ‘เฉพาะคนผิวขาว’ ที่ติดอยู่ตามบริษัทต่างๆ ในช่วงหนึ่งของประวัติศาสตร์ชาติของเราที่เราเคยหวังว่ามันได้ผ่านไปแล้ว” เขากล่าว
Source :http://www.mintpressnews.com/civil-rights-group-asks-doj-to-intervene-over-muslim-free-zones/208325/