หลายปีที่ผ่านมา โลกได้ให้บทเรียนมากมายแก่มนุษยชาติ โดยเฉพาะบทเรียนแห่งความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และน้อยครั้งที่เราพบว่า มีประเทศสองประเทศตกลงร่วมกันเพื่อเข้าสู่กระบวนการของประเทศใดประเทศหนึ่งได้อย่างแท้จริง ซึ่งแทบไม่มีเลยเพราะแม้แต่คดีนิวเคลียร์ของอิหร่าน ในตอนเริ่มต้นทุกฝ่ายต่างมุ่งไปสู่การเจรจาและตกลงกันราวกับการคว่ำบาตรจะลดลง แต่สุดท้ายไม่มีประเทศใดดำเนินการเลย ขณะเดียวกันสถานการณ์ในการเจรจาของเกาหลีเหนือเองก็ได้เปลี่ยนไปสู่จุดที่ฝ่ายหนึ่งดูเหมือนจะกังวลน้อยลงเกี่ยวกับชะตากรรมความมั่นคงของตนเอง และอีกฝ่ายกำลังพยายามดำเนินการตามแผนที่วางไว้ในระยะเวลาสองปี
เมื่อต้นปี 2018 ผู้นำเกาหลีเหนือ คิมจองอึน พูดถึงหน้าต่างบานใหม่แห่งความสัมพันธ์ที่เกาหลีกับโลกกำลังเปิดอ้า หลายประเทศต่างหวังว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้น เนื่องจากหน้าต่างการเจรจาระหว่างวอชิงตันและเปียงยางได้เปิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เปียงยางหยุดกิจกรรมนิวเคลียร์และขีปนาวุธอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นระบบ แต่เรื่องนี้เริ่มแรกดูเหมือนกระบวนการกำลังไปได้ดี ทว่าตอนนี้ดูเหมือนทุกอย่างกำลังอึมครึมอยู่ในความซบเซา เหตุผลหนึ่งที่นำมาอธิบายกันคือ เพราะสหรัฐอเมริกาไม่เต็มใจที่จะให้เกาหลีเหนือได้รับสัมปทาน หรือสถานะพิเศษใดๆ และในทางกลับกันเปียงยางเองกำลังพยายามที่จะดำเนินโครงการต่อไป ถึงกับมีการกำหนดเส้นตายอีกด้วย ในขณะเดียวกันจีนกับรัสเซียเรียกต่างก็เรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติยุติการคว่ำบาตรสินค้าส่งออกสำคัญของเกาหลีเหนือเช่น ถ่านหิน แร่เหล็กและสิ่งทอเพื่อส่งเสริมการดำรงชีวิตของพลเรือน
ร่างมติที่เสนอต่อคณะมนตรีความมั่นคงเมื่อวันจันทร์ มีประเด็นเรื่องการห้ามการทำงานของชาวเกาหลีเหนือในต่างประเทศและทุกคนที่มีรายได้จากต่างประเทศสามารถยุติการทำงานได้หากได้รับการอนุมัติภายในวันที่ 22 ธันวาคม จีนและรัสเซียต่างแสดงความกังวลเกี่ยวกับการเรียกร้องของสหรัฐเมื่อสองปีที่แล้วว่า รายได้ของแรงงานเกาหลีในต่างประเทศถูกใช้ไปกับการพัฒนาโครงการขีปนาวุธและนิวเคลียร์ของเปียงยาง ทั้งสองประเทศจึงเสนอให้ทำตามร่างมติตามที่คิมจองอึนสัญญาไว้และให้โอกาสสหรัฐอีก 16 วัน ส่วนทางเปียงยางก็กล่าวว่ากิจกรรมจะดำเนินต่อไปหากไม่มีข้อเสนอใหม่อย่างเป็นรูปธรรมเพื่อฟื้นฟูกระบวนการทางการทูต
ในการพบกันครั้งที่สองระหว่างคิมและทรัมป์ที่สิงคโปร์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่าน เกาหลีเหนือพยายามยกเลิกการคว่ำบาตรของสหรัฐในวงกว้างขึ้นโดยแลกเปลี่ยนกับการยกเลิกโรงงานนิวเคลียร์ส่วนหนึ่ง แต่สหรัฐปฏิเสธ สหรัฐฯเชื่อว่าเกาหลีเหนือควรรื้อทิ้งสิ่งอำนวยความสะดวกและโครงการขีปนาวุธทั้งหมด จากนั้นสหรัฐฯจึงจะพิจารณายกเลิกการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือ แต่แต่เพราะสถานการณ์มันดำเนินต่อไปเช่นนี้ เกาหลีเหนือจึงได้ทำการทดสอบขีปนาวุธตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคมเพื่อเพิ่มแรงกดดันแก่วอชิงตันมากขึ้น นอกจากนี้เกาหลีเหนือยังขู่ว่าจะเปิดตัวการทดสอบขีปนาวุธระยะไกลที่สามารถพกอาวุธนิวเคลียร์ได้หากสหรัฐไม่ดำเนินการก่อนเข้าปีใหม่
ก่อนหน้านี้มีมติที่ร่างไปถึงมือ Associated Press ตั้งแต่เจรจาอย่างต่อเนื่องระหว่างสหรัฐอเมริกากับเกาหลีเหนือ และยังมีการเรียกร้องให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตามขั้นตอนปฏิบัติเพื่อลดความตึงเครียดทางการทหารและป้องกันการเผชิญหน้าทางทหาร การแก้ปัญหาข้อหนึ่งที่กำหนดไว้ในการลงมติคือข้อตกลงสันติภาพเพื่อยุติสงครามระหว่างสองประเทศที่หยุดยิงตั้งแต่ 2496
ร่างมติดังกล่าวเรียกร้องให้เริ่มการเจรจาจากทั้งหกฝ่ายหรือเริ่มต้นการหารือระดับพหุภาคีโดยมีวัตถุประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกในการแก้ปัญหาอย่างสันติผ่านการสนทนา หกฝ่ายที่ว่าได้แก่เกาหลีเหนือ เกาหลีใต้ สหรัฐอเมริกา จีน รัสเซีย และญี่ปุ่นซึ่งเริ่มในปี 2546 และสูญเสียอิทธิพลในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจากนั้นกลับมาฟื้นฟูการเจรจาหกฝ่ายในปี 2548 ส่งผลให้มีการทำข้อตกลงหยุดยั้งโครงการอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือเพื่อแลกกับผลประโยชน์ด้านความมั่นคงเศรษฐกิจและพลังงานของเปียงยาง แต่หลังจากนั้นการเจรจาซับซ้อนและยากลำบากยิ่งขึ้น ทางเกาหลีเหนือจึงไม่ยอมรับขั้นตอนการตรวจสอบของสหรัฐฯและข้อตกลงดังกล่าวสิ้นสุดลงในเดือนธันวาคม 2551 และการเจรจาหกฝ่ายได้หยุดลง
ทางจีนและรัสเซียยืนยันว่าทุกฝ่ายจะต้องมุ่งมั่นที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการต่อต้านอาวุธนิวเคลียร์ของคาบสมุทรเกาหลี และดูเหมือนว่าการย้ำดังกล่าวพาพิงโดยตรงถึงสหรัฐอเมริกา, รัสเซีย, จีน, อังกฤษและฝรั่งเศสซึ่งจะต้องได้รับการยอมรับว่าเป็นรัฐที่มีอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งจะต้องดำเนินการตามสนธิสัญญาการลดอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ กระบวนการของความร่วมมือกับสำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศจึงจะเริ่มขึ้นเช่นกัน
นอกจากนี้ในมติยังชี้ถึงการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการรถไฟ และ การคมนาคม ในอีกด้านหนึ่ง ดูเหมือนว่ามติที่เสนอโดยจีนและรัสเซีย จะตั้งเป้าหมายในปี 2560 และ 2559 ซึ่งในมติมีการกำหนดบทลงโทษที่รุนแรงที่สุดต่อเกาหลีเหนือ จากข้อมูลของ Nicki Haley ทูตสหรัฐฯประจำองค์การสหประชาชาติ ระบุว่ามติที่ยื่นเสนอในเดือนธันวาคม 2560 จะเป็นตัวปิดกั้นการส่งออกของเปียงยางถึง 90% แต่ในปัจจุบันในมติได้ห้ามการนำเข้าเครื่องจักรอุตสาหกรรมบางประเภทที่ใช้ในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานของเกาหลีเหนือ ทำให้ไม่สามารถช่วยพัฒนาโครงการขีปนาวุธและนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือได้
นอกจากนี้คณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับการคว่ำบาตรยังเรียกร้อง ยังเรียกร้องให้ตรวจสอบการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือ และในมติยังเรียกร้องให้สหรัฐฯยอมรับข้อยกเว้นสำหรับสินค้าบางประเภทที่จำเป็นสำหรับเกาหลีเหนือเพื่อวัตถุประสงค์ด้านมนุษยธรรมและการดำรงชีวิตอีกด้วยเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้จีนและรัสเซีย เสนอตัวเป็นผู้จัดการดูแลด้านมนุษยธรรมและวัสดุก่อสร้างสำหรับรางรถไฟและรถไฟและชิ้นส่วนเหล็กสำหรับประตูและหน้าต่างรวมถึงสลักเกลียว พวกเขายังเสนอรถยนต์ที่มีน้ำหนักต่ำกว่า 20 ตันรวมถึงการดับเพลิงและเข็มฉีดยา รายการนี้ยังรวมถึงหม้อน้ำสำหรับทำความร้อนและเครื่องใช้ในครัวเรือนอื่นๆ เครื่องปรับอากาศเครื่องดูดฝุ่นพลั่วและอุปกรณ์ฟาร์ม ตามที่สำนักข่าวรอยเตอร์ระบุ ข้อเสนอของจีนและรัสเซียในการลดการคว่ำบาตรเกาหลีเหนืออาจเป็นจุดสิ้นสุดของนโยบายการรวมแรงกดดันสูงสุดต่อกาหลีเหนือเพื่อชักชวนให้เปียงยางส่ง รัสเซียและจีนมีส่วนร่วมในการรณรงค์กดดันสูงสุดต่อสหรัฐเปียงยาง และเพื่อดึงเปียงยางกลับสู่ตารางการเจรจา ในแง่หนึ่งจีนกับรัสเซียเองก็ได้ทำข้อตกลงจำนวนมากในช่วงสองปีที่ผ่านมาเพื่อนำสหรัฐฯและเกาหลีใต้มาสู่โต๊ะเจรจาอีกครั้ง จึงมีผลทำให้สหรัฐฯมีโอกาสเจรจาแบบทวิภาคี แต่สหรัฐฯกลับไม่ใช้โอกาสที่เข้ามาอย่างน่าแปลกใจ เพราะในสถานการณ์เช่นนี้สหรัฐอเมริกากลับยังคงคว่ำบาตรต่อเกาหลีเหนืออย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว แม้สองประเทศจีนและรัสเซียไม่เคยต่อต้านแนวทางของสหรัฐฯอย่างชัดเจนตรงไปตรงมา แต่ก็มีกระแสแรงกดดันจากหมีขาวและมังกรต่อสหรัฐเพิ่มเข้ามา ด้วยเหตุนี้นักวิเคราะห์บางส่วนจึงตั้งขอสังเกตต่อปริมาณแรงกดดันจากสองประเทศที่มีต่อสหรัฐในลักษณะที่ถี่ขึ้น นอกจากนี้เอกอัครราชทูตจีนประจำสหรัฐอเมริกา ก็ได้ระบุว่าเหตุผลหลักที่ทำให้การเจรจาระหว่าง เปียงยาง – วอชิงตันพูดถูกถ่วงเวลาและกลับเพิ่มความตึงเครียดมากขึ้ เป็นเพราะสหรัฐฯไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆต่อการกระทำในเชิงบวกของเกาหลีเหนือ Artyom Lukin ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัย Wostock กล่าวกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า: “ความคิดริเริ่มของรัสเซีย – จีนในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติมีแนวโน้มที่จะได้รับการประสานงานอย่างเต็มที่กับเปียงยางเพราะข้อเสนอดูเหมือนจะสะท้อนความต้องการของเกาหลีได้อย่างตรงไปตรงมา และอย่างน้อยเกาหลีเหนือไม่ต้องทำตามขั้นตอนใหม่”
เขากล่าวเสริมว่า “จีนและรัสเซียผลักดันกลยุทธ์ให้สหรัฐอเมริกาอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนเปียงยางเองก็ได้แสดงให้เห็นว่าประเทศตนไม่ใช่ผู้แข่งขันในเกมระหว่างมหาอำนาจ” รัสเซียมองว่าเปียงยางเป็นสนามเด็กเล่นของพวกเขาไม่ใช่คู่แข่งที่ต้องกำราบ
ประเด็นสำคัญคือรัสเซียและจีนดูเหมือนจะมองหากระบวนการช่วยเหลือที่ช่วยให้สหรัฐฯเริ่มต้นไปในทิศทางที่ดี ส่วนสหรัฐฯกำลังทำลายกระบวนการทั้งหมดเนื่องจากขาดกลยุทธ์ที่เหมาะสมในการแก้ไขวิกฤต อย่างไรก็ตามสถานการณ์ระหว่างสี่ประเทศนี้จะยังคงดำเนินต่อไปจนกว่าจะถึงจุดที่ทุกฝ่ายมองเห็นว่าลงตัว หรือกลับไปอยู่ในสภาพเดิมที่ไม่อาจนั่งเจรจากัน
source: