ที่ปรึกษาผู้นำ US ยอมรับเป็นครั้งแรก “โอบามา” คือผู้สนับสนุนด้านอาวุธรายใหญ่แก่ “กบฏซีเรีย”

428

ซูซาน ไรซ์ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของประธานาธิบดีบารัค โอบามา

       เอ เจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์- ซูซาน ไรซ์ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐฯ ออกมายอมรับหมดเปลือกว่า รัฐบาลโอบามา คือ ผู้สนับสนุนรายใหญ่ทางด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ต่อ “กบฏซีเรีย”

ไรซ์ วัย 49 ปี อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น)ซึ่งเข้ารับตำแหน่งที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติให้กับโอบามา เมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว ออกมายอมรับในวันอาทิตย์ (8) ระหว่างให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็นโดยระบุ นอกจากรัฐบาลโอบามาจะเป็นผู้จัดหา “ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม” รายใหญ่ที่สุดให้แก่ซีเรียแล้ว รัฐบาลชุดปัจจุบันของสหรัฐฯ ยังเป็น ผู้สนับสนุนรายใหญ่ทางด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ต่อนักรบฝ่ายกบฏในซีเรียด้วยเช่น กัน

“ตลอด หลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลโอบามาได้มอบความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่กลุ่มเคลื่อนไหวต่อต้าน รัฐบาลซีเรียไปแล้วมากกว่า 1,700 ล้านดอลลาร์ แต่นอกเหนือจากความช่วยเหลือทางด้านพลเรือนแล้ว รัฐบาลของเรายังจัดหาความช่วยเหลือทางการทหารอย่างสำคัญต่อฝ่ายต่อต้าน รัฐบาลในซีเรียด้วย เราจำเป็นต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้แน่ใจว่าความเป็นไปในซีเรีย จะดำเนินไปในทิศทางที่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของอเมริกาและภูมิภาค ตะวันออกกลางโดยรวม” ไรซ์กล่าวต่อซีเอ็นเอ็น

ท่าที ล่าสุดของไรซ์ ส่งผลให้เธอกลายเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงรายแรกของรัฐบาลอเมริกัน ที่ออกมา “ยอมรับความจริง” ว่ารัฐบาลโอบามาได้จัดหาความช่วยเหลือทางการทหารแก่ฝ่ายกบฏในซีเรีย เพื่อใช้ในการทำสงครามโค่นล้มระบอบการปกครองของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาดในซีเรีย

ก่อน หน้านี้ ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐฯได้ยืนกรานมาโดยตลอดว่า รัฐบาลของเขาจะจัดสรรความช่วยเหลือเฉพาะด้านมนุษยธรรมต่อฝ่ายต่อต้านรัฐบาล ซีเรีย โดยจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวใดๆกับความช่วยเหลือทางทหาร

อย่างไร ก็ดี การออกมาเปิดเผยต่อซีเอ็นเอ็นของที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติในครั้งนี้ เท่ากับเป็นการยอมรับว่า ที่ผ่านมาโอบามาได้ “โกหกคำโต” ต่อสาธารณชนอเมริกัน และสภาคองเกรสส์มาโดยตลอด

ทั้งนี้ ความขัดแย้งในซีเรียที่ปะทุขึ้นตั้งแต่เดือนมีนาคม ปี 2011 และกลายเป็นสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อเข้าสู่ขวบปีที่ 4ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตไปแล้วมากกว่า 160,000 ราย ขณะที่ชาวซีเรียอีกหลายล้านคนต้องกลายสภาพเป็นผู้ลี้ภัยทั้งในและนอกประเทศ

ที่มา ผู้จัดการออนไลน์