ใน วิดีโอนี้ จอน สโนว์ (Jon Snow) ผู้จัดรายการโทรทัศน์ช่อง 4 (Channel 4) ของอังกฤษสัมภาษณ์นายมาร์ค เรเกฟ (Mark Regev) โฆษก รัฐบาลอิสราเอลอย่างดุเดือด หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่กองทัพเรือของอิสราเอลยิงระเบิดใส่เด็กผู้ชายสี่คน ที่กำลังเล่นฟุตบอกอยู่บนชายหาด โดยที่เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2557 นี้ มีรายงานข่าวว่ากองทัพเรืออิสราเอลซึ่งจอดเรือรบอยู่ ณ บริเวณชายหาดของเมืองกาซ่าได้ยิงระเบิดใส่เด็กชาวปาเลสไตน์ที่กำลังเล่น ฟุตบอลอยู่บนชายหาดท่ามกลางสายตาของนักข่าวนานาชาติที่ไปทำข่าวเรื่องกาซ่า ซึ่งพักอยู่ที่โรงแรมใกล้ ๆ กัน ผู้สื่อข่าวของ NBC กล่าวว่าเขาเพิ่งจะแตะบอลกับเด็ก ๆ เสร็จพอดีก่อนที่จะมีการโจมตีจากเรือรบของอิสราเอลทำให้เด็กคนหนึ่งเสีย ชีวิตทันที ส่วนเด็กอีกสามคนที่วิ่งหนีก็ถูกโจมตีจากระเบิดลูกที่สองที่พุ่งมาจากเรือรบ ทำให้บาดเจ็บสาหัสและไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล อ่านข้อมูลได้จาก http://www.nbcnews.com/storyline/middle-east-unrest/innocent-gone-israeli-strike-gaza-kills-four-children-n157301
หลังจากนั้นนายอัยมัน โมห์เยลดิน (Ayman Mohyeldin) นักข่าวอาวุโสชาวอเมริกันเชื้อสายอียิปต์ผู้รายงานข่าวเรื่องนี้อย่างตรงไป ตรงมาก็ถูก NBC เรียกให้ถอนตัวออกจากกาซ่าทันที NBC ส่งนักข่าวคนใหม่ไปทำงานแทนเขา นักข่าวใหม่พูดภาษาอาหรับไม่ได้ และไม่เคยทำงานในกาซ่ามาก่อน เรื่องนี้จะเห็นว่าเป็นกลไกข่าวกระแสหลักของอเมริกาที่จงใจไม่รายงานความ จริงที่เกิดขึ้น http://interc.pt/1stzor3 (ข้อมูลจากเฟสบุ๊คของ George Orwell) อย่างไรก็ตาม ล่าสุดทาง NBC ได้ส่งนายอัยมันกลับไปลงพื้นที่แล้วเนื่องจากทนแรงกดดันจากผู้มีใจเป็นธรรม ทั้งหลายไม่ไหว ส่วนนักข่าว CNN คน หนึ่งที่รายงานข่าวอย่างตรงไปตรงมากรณีที่ชาวอิสราเอลนั่งปาร์ตี้กันบนเนิน เขาและโห่ร้องแสดงความดีใจเมื่อกองทัพอิสราเอลส่งจรวดไปถล่มกาซ่าก็ถูกปลด ออกจากพื้นที่ไปแล้วเช่นกัน
ใน บทสัมภาษณ์นี้คำถามแรกที่จอน สโนว์ถามนายเรเกฟคือการที่อิสราเอลประกาศเสมอมาว่าการโจมตีกาซ่าเป็นการ ป้องกันตนเอง แต่การยิงจรวดใส่เด็กผู้ชายสี่คนที่กำลังเล่นฟุตบอกอยู่บนชายหาด เป็นการป้องกันตนเองอย่างไร
นาย เรเกฟตอบคำถามแรกแบบตาใสว่า “We doesn’t” ปล๊าว! เราไม่ได้ทำ! (จะ เห็นได้ว่าการที่คนระดับโฆษกรัฐบาลพูดผิดแกรมม่านั้นแสดงให้เห็นถึงความไม่ มั่นคงทางอารมณ์ของเขาอย่างยิ่งเมื่อต้องเผชิญกับการสัมภาษณ์จากผู้จัด รายการระดับอาวุโสอย่างจอน สโนว์เพราะเขารู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่รัฐบาลของตนเองทำลงไปนั้นผิดเต็มประตู เอ๊ะ หรือว่าไม่มีจิตสำนึกส่วนนี้อยู่เลย ไม่นะ!) ส โนว์ถามต่อว่าด้วยประสิทธิภาพขั้นเทพของเทคโนโลยีทางการรบของอิสราเอลจะบอก ว่า กองทัพเรืออิสราเอลไม่สามารถมองเห็นได้ว่ามนุษย์สี่คนที่วิ่งอยู่บนชายหาด เป็นเด็กผู้ชายที่กำลังเล่นฟุตบอลอยู่อย่างนั้นหรือ (นั่นหมายความว่าอิสราเอลไม่สามารถแยกเป้าหมายการโจมตีระหว่างเป้าหมายทาง ทหารกับเป้าหมายทางพลเรือนแบบที่อิสราเอลอ้างเสมอมาใช่ไหม) นายเรเกฟตอบว่า “The story with these four boys is a tragedy – let’s be clear the Israeli military does not target civilians.” เรื่อง ของเด็กทั้งสี่คนเป็นเรื่องเศร้า แต่ขอให้เข้าใจตรงกันนะว่าเราไม่ได้มุ่งโจมตีพลเรือน เราไม่ได้มุ่งโจมดีเด็ก ๆ และคนที่โจมตีเด็กเหล่านี้ซึ่งไม่ใช่อิสราเอลแน่นอนนั้นก็คงไม่มีสามารถบอก ได้ว่านี่คือเด็ก (หมายความว่าคนที่โจมตีต้องเป็นกองกำลังของปาเลสไตน์เองที่ต้องการสร้าง เรื่องขึ้นมาเพื่อใส่ไคล้อิสราเอล! เอิ่ม ถ้าไม่ใช่มาร์ค เรเกฟ พูดแบบนี้ไม่ได้นะเนี่ย ณ วันที่สัมภาษณ์จำนวนผู้เสียชีวิตจาการโจมตีของปาเลสไตน์อยู่ที่ 240 คน บาดเจ็บมากกว่า 1200 ฝ่ายอิสราเอลเสียชีวิต 1 คน กรุณาเข้าใจตรงกันนะว่าอิสราเอลเพียงแต่ป้องกันตัว ท่องไว้นะชาวโลกว่าอิสราเอลไม่ได้พุ่งเป้าหมายการโจมตีไปที่พลเรือน! จะเห็นได้ว่านายเรเกฟพลิกลิ้นทันทีและโยนความผิดให้ผู้อย่างน่าไม่อาย สมเป็นไซออนิสต์จริง ๆ นะเนี่ย) ฟังเพียงแค่นี้หลายคนอาจจะทนฟังต่อไม่ได้ แต่ขอให้ทนฟังให้จบเพื่อเราจะได้เห็นตัวอย่างว่าคำว่าลิ้นสองแฉกเป็นเช่นไร
ประเด็น ถัดมาที่นายเรเกฟอ้างคือการ เสนอข้อตกลงหยุดยิงโดยผ่านการเจรจากับอียิปต์และกลุ่มประเทศอาหรับ ประเด็นนี้ผู้สัมภาษณ์ได้ตอกหน้านายเรเกฟกลับไปว่าแต่ฮามาสไม่เคยอยู่ร่วม โต๊ะเจรจาและรัฐบาลปัจจุบันของอิยิปต์ก็เป็นปรปักษ์กับฮามาส (เป็นที่ทราบกันดีว่ารัฐบาลปัจจุบันของอียิปต์เป็นรัฐบาลทหารที่เพิ่งโค่น ล้มรัฐบาลประชาธิปไตยของอิยิปต์ลงไปด้วยการสนับสนุนอย่างแข็งขันจากอิสราเอล และอเมริกา โดยการแกล้งปิดหูปิดตากับรัฐประหารที่เกิดขึ้น ทั้ง ๆ ที่ทั้งสองประเทศนี้อ้างเสมอมาว่าตนเองสนับสนุนประชาธิปไตย) ดังนั้นข้อลงหยุดยิงดังกล่าวจึงยังไม่เกิดขึ้น แต่การที่อิยิปต์กล่าวว่าตัวเองได้เสนอเจรจาหยุดยิงกับฮามาสนั้นก็เพื่อ เป็นการปัดสวะให้พ้นตัว และเป็นการช่วยให้อิสราเอลได้ใช้เป็นข้ออ้างว่าเราเสนอข้อหยุดยิงแล้วแต่ทาง ฮามาสไม่ยอมรับเพื่อที่อิสราเอลจะใช้ในการโจมตีพลเมืองกาซ่าต่อไปเท่านั้น เอง (และขอหมายเหตุไว้ ณ ตรงนี้ว่ากองกำลังติดอาวุธของฮามาสเพิ่งเกิดขึ้นหลังจากที่อิสราเอลยึดครอง ปาเลสไตน์และกระทำทารุณกรรมต่าง ๆ ต่อชาวปาเลสไตน์และปฏิบัติกับพวกเขาราวกับไม่ใช่มนุษย์มานานกว่าครึ่งศตวรรษ แล้ว และความพยายามในการเจรจาต่าง ๆ ในอดีตก็ไม่เป็นผลเนื่องจากอิสราเอลฝ่าฝืนมติต่าง ๆ ที่ทำร่วมกันเสมอมา (อ่านข้อมูลสรุปการละเมิดข้อตกลงต่าง ๆ ของอิสราเอลที่อ้างตัวว่าเป็นประเทศประชาธิปไตยได้ใน https://www.facebook.com/photo.php?fbid=10152569978236649&set=a.10150096728651649.281712.824066648&type=1)
ประเด็น สำคัญอีกประเด็นที่สโนว์ถาม คือการที่อิสราเอลโจมตีโรงพยาบาลในกาซ่าทั้ง ๆ อิสราเอลนั้นมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก (เป็นที่ทราบกันดีว่าอิสราเอลได้รับการสนับสนุนทางทหารจากรัฐบาลสหรัฐอย่าง เต็มที่ เทคโนโลยีของอิสราเอลสามารถแยกแยะเป้าหมายได้อย่างชัดเจนแม้แต่มดที่เดิน อยู่บนพื้น) สโนว์กล่าวว่าการที่อิสราเอลโจมตีโรงพยาบาลนั้นแสดงให้เห็นว่าอิสราเอล ตั้งใจที่จะโจมตีเป้าหมายที่เป็นพลเรือน รวมทั้งต้องการสังหารเด็กและผู้หญิงใช่ไหม และแน่นอนว่าข้อแก้ตัวของเรเกฟก็คือการโยนความผิดไปให้ฮามาสทันทีว่าใช้ บริเวณใกล้โรงพยายาลเป็นฐานยิงจรวด ปัญหาก็คือโรงพยายาลดังกล่าวไม่ได้อยู่ในบริเวณที่อิสราเอลอ้างว่าฮามาสใช้ เป็นฐานยิงจรวดแต่อย่างใด สิ่งที่เรเกฟทำคือการอ้างว่าตนเองได้ฟังสัมภาษณ์จากชาวปาเลสไตน์ว่าพวกเขา รู้ดีว่าอิสราเอลไม่ได้ตั้งใจโจมตีพวกเขา! (ช่างมโนไปได้เนอะ)
ประเด็น ต่อมาที่สโนว์ตั้งคำถามคือการ ที่ทางสหประชาชาติได้ท้วงติงว่าสิ่งที่อิสราเอลกำลังทำนั้นเข้าข่ายความเป็น อาชญากรสงครามเนื่องจากอิสราเอลตั้งใจพุ่งเป้าการโจมตีไปที่พลเรือน สิ่งที่เรเกฟตอบก็คือทางอิสราเอลได้พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะหลีก เลี่ยงเป้าหมายที่เป็นพลเรื่อนและได้ออกใบปลิวเตือนทุกครั้งว่าจะโจมตีจุด ไหน (อิสราเอลอ้างเสมอว่ากองทัพของตนเองเป็นกองทัพที่มีคุณธรรมที่สุดในโลก!) เรเกฟกล่าวต่อว่าแต่ฮามาสบอกชาวปาเลสไตน์ให้อยู่เป็นโล่มนุษย์ให้พวกเขา มาถึงตรงนี้คงต้องถามแบบเดียวกับที่ Jon Stewart ถามในรายการ The Daily Show (ซึ่งน่าเสียดายที่วิดีโอของ Jon Stewart ถูกรัฐบาลสหรัฐตามลบไปหมดแล้ว) ว่า แล้วจะให้ชาวปาเลสไตน์หนีไปไหนในเมื่อหันไปทางขวาก็ติดกำแพงมหึมาที่ อิสราเอลก่อขึ้นมาขังพวกเขาไว้ หันไปทางซ้ายก็เป็นเขตแดนของอียิปต์ซึ่งรัฐบาลทหารของนายพลซีซีไม่ยอมเปิด เขตแดนให้ชาวปาเลสไตน์หนีภัยสงครามเข้าไป จะให้พวกเขาหนีลงทะเลก็มีเรือรบอิสราเอลคอยดักยิงระเบิดอยู่ จะให้เขาหนีไปหลบที่ไหน ในเมื่อพื้นที่ของกาซ่านั้นไม่ได้ใหญ่ไปกว่าอำเภอหนึ่งของเมืองไทยแต่มี ประชากรแออัดเกือบสองล้านคนจนได้ชื่อว่าเป็นค่ายกักกันแบบเปิดที่มีความ แออัดและมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่อิสราเอลยิงจรวดลงมาในเขตกาซ่า คนที่ต้องประสบเคราะห์กรรมก็คือพลเรือนนั่นเอง
คำถาม สุดท้ายที่สโนว์ทิ้งไว้ก็คือ ตลอดระยะที่ผ่านมาอิสราเอลทำทุกอย่างในการยึดครองกาซ่าไว้ ทำสงครามกับฮามาสและกักขังชาวปาเลสไตน์ไว้ให้อยู่ในสภาพที่โหดร้ายทารุณ เหมือนไม่ใช่มนุษย์ สิ่งที่อิสราเอลไม่เคยทำเลยคือการพูดคุย สโนว์ถามว่าคุณกล้าไหมที่จะเจรจากับฮามาสโดยตรง (ทั้ง ๆ ที่ฮามาสเป็นกลุ่มทางการเมืองที่ชาวปาเลสไตน์ลงคะแนนเลือกตั้งมาให้เป็น ผู้นำของเขา) ทำไม ไม่ทำในสิ่งที่กล้าหาญนั่นคือการเจรจากับฮามาส และการพูดคุยกับอิยิปต์ก็ไม่ได้เป็นการพูดคุยกับฮามาสแต่อย่างใดเพราะ อิยิปต์เองก็ไม่เคยพูดคุยกับฮามาส (แต่ไปพูดคุยกันเองกับกลุ่มประเทศอาหรับซึ่งรัฐบาลเผด็จการของประเทศเหล่า นี้ก็ล้วนเป็นพันธมิตรแน่นแฟ้นกับสหรัฐอเมริกา) นั่น แสดงว่าอิสราเอลเองไม่กล้าหาญพอที่จะพูดคุยเจรจากับฮามาสใช่ไหม คำถามนี้นายเรเกฟก็ได้แต่กล้อมแกล้มตอบต่อไปและสุดท้ายก็คงลงเอยว่าก็เราได้ เจรจากับอียิปต์แล้ว ยังไม่พอใจอีกรึไง!
อยาก จะเพิ่มเติมตรงนี้ว่าหากคนที่มี ใจเป็นธรรมพอจะทราบดีว่าการเกิดการปะทะกันครั้งนี้เป็นเสมือนฟางเส้นสุดท้าย เพราะประชาชนชาวปาเลสไตน์มีสภาพหลังชนฝาและไม่มีทางออกใด ๆ นอกจากการลุกขึ้นมาต่อสู้กับผู้รุกรานเพื่อปกป้องมาตุภูมิของตัวเอง สิ่งที่เกิดขึ้นตลอดเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่การประกาศตั้งรัฐอิสราเอลขึ้นบน แผ่นดินของชาวปาเลสไตน์ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองภายใต้การสนับสนุนของ อังกฤษและชาติตะวันตก เพื่อสร้างประเทศตัวแทนของตะวันตกไว้เพื่อควบคุมภูมิภาคตะวันออกกลางนั้น อิสราเอลทำทุกอย่างที่เป็นการละเมิดสิทธิทั้งหมดของชาวปาเลสไตน์ พลเรือนปาเลสไตน์ทั้งหมดอยู่ภายใต้การควบคุมโดยทหารของอิสราเอล ชาวปาเลสไตน์ที่เกิดมาต้องขึ้นทะเบียนกับทางการอิสราเอลเพื่อจะสามารถมีหลัก ฐานการมีตัวตนได้ อิสราเอลทำกำแพงสูงมหึมาเพื่อกักขังชาวปาเลสไตน์ไว้ในฉนวนกาซ่า การผ่านด่านตรวจที่อิสราเอลตั้งขึ้นระหว่างเมืองต่าง ๆ ในปาเลสไตน์ก็เป็นไปด้วยความลำบากยากเย็น โดยชาวปาเลสไตน์ต้องพกเอกสารติดตัวตลอดเวลาเพื่อยืนยันความมีตัวตนของตนเอง วันดีคืนดีทหารอิสราเอลก็หาเรื่องเอาชาวปาเลสไตน์เข้าคุกด้วยการเปลี่ยน เอกสารและกล่าวหาว่าประชาชนคนนั้นถือเอกสารปลอม มีการขยายเขตการตั้งถิ่นฐานของชาวอิสราเอลโดยการออกกฎหมายเพื่อทำให้เขต เกษตรกรรมของชาวปาเลสไตน์และพื้นที่ที่อยู่อาศัยของชาวปาเลสไตน์กลายเป็นเขต การตั้งถิ่นฐานของชาวอิสราเอลอย่างหน้าด้าน ๆ และมีการนำรถตักดินเข้าไปรื้อถอนบ้านของชาวปาเลสไตน์อย่างโหดร้ายทารุณ สิ่งที่เกิดขึ้นมีการเผยแพร่ภาพทั่วไปบนอินเตอร์เน็ต คงหาดูได้ไม่ยากหากอยากค้นหาความจริง อิสราเอลพยายามตลอดมาที่จะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์และละเมิดสิทธิทั้ง หลายของพวกเขาอย่างเป็นระบบ โดยนานาชาติไม่เคยสามารถทำอะไรได้เลย แผนที่ของดินแดนที่ชาวปาเลสไตน์เคยเป็นเจ้าของพื้นที่อยู่ถึง 80% โดยมีชาวยิวดั้งเดิมอาศัยอยู่ในปาเลสไตน์เพียง 20% นั้น หลัง การประกาศตั้งรัฐเถื่อนอิสราเอลขึ้นมาและมีการขนย้ายชาวยิวจากยุโรปเข้ามา ตั้งถิ่นฐานในปาเลสไตน์ ชาวปาเลสไตน์ก็ถูกบีบบังคับให้ต้องละทิ้งฐิ่นฐานบ้านเรือน อพยพโยกย้ายออกไปเป็นผู้ลี้ภัยในประเทศต่าง ๆ ที่มีเหลืออยู่ก็เป็นชาวบ้านตาดำ ๆ ที่ไม่มีกำลังพอจะหนีไปไหนหรือไม่ก็เป็นพวกที่ตัดสินใจอยู่เพื่อปกป้องชาติ ของตัวเอง ประเทศปาเลสไตน์กำลังจะถูกลบออกไปจากแผนที่และแทนที่ด้วยผู้ยึดครองคือ อิสราเอล หากเรามองว่าการลุกขึ้นมาแข็งขืนและต่อต้านของชาวปาเลสไตน์เป็นการก่อการ ร้าย ตรรกะของโลกนี้คงเพี้ยนไปแล้ว
ฝาก บอกสื่อมวลชนไทยว่ากรุณาฟังบท สัมภาษณ์นี้ให้จบและอย่าลืมฟังคำถามสุดท้ายจากผู้สัมภาษณ์ด้วย เผื่อตรรกะต่าง ๆ มันจะทำงานกันบ้างและอาจรู้จักคำว่ามนุษยธรรมขึ้นมาบ้าง และฝากบอกผู้รับสื่อชาวไทยว่ากรุณาอย่าฟังแต่ข่าวสารเมืองไทยเพราะในช่วงไม่ กี่วันที่ผ่านมาคนที่ติดตามข่าวสารจากสื่อทางเลือกต่าง ๆ ก็คงเห็นชัดแล้วว่านักข่าวไทยทำได้อย่างเดียวคือการก็อปปี้ข่าวมาจาก CNN (ซีเอนเอียง) และ BBC (British Brain-washing Channel) เมื่อไม่นานมานี้เห็น แล้วว่าสำนักข่าวไทยสำนักหนึ่งเข้าข้างอิสราเอลอย่างชัดเจนโดยเสนอข่าวการก ระทำอันไร้มนุษยธรรมของชาวอิสราเอลที่นั่งปาร์ตี้บนเนินเขาเพื่อรอดูระเบิด ถล่มเมืองกาซ่าอย่างสนุกสนาน (ซึ่งเป็นข่าวให้ผู้คนประณามกันไปทั่วโลกออนไลน์) ด้วย การลงข่าวว่าเป็นการกระทำของชาวปาเลสไตน์ ทั้ง ๆ ที่หน้าตาของคนที่นั่งอยู่บนเนินเขาทั้งหมดนั้นก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ไม่ใช่ชาวอรับปาเลสไตน์ ช่างมีจรรยาบรรณทางวิชาชีพเสียจริง ๆ
สุดท้าย นี้ขอยกคำพูดของคุณหมอ Sukree Ibn Qadir ที่ตั้งคำถามว่า หากคนไทยสอนลูกหลานให้ร้องเพลงชาติว่า “ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด เอกราชจะไม่ให้ใครข่มขี่” แล้ว ชาวปาเลสไตน์จะร้องเพลงแบบเดียวกันบ้างได้หรือไม่ ในเมื่อเขาถูกย่ำยี กดขี่ และปล้นชาติปล้นแผ่นดินโดยกลุ่มคนที่มีกำลังเหนือกว่าทุกอย่างมาเป็นเวลา กว่าครึ่งค่อนศตวรรษจนเกือบไม่มีแผ่นดินจะอยู่แล้ว ถามว่าถ้าเป็นคุณคุณจะทำอย่างไร
สุรัยยา สุไลมาน
๒๒ กรกฎาคม ๒๔๔๗
กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย