
สงครามต่อต้านการก่อการร้ายของใครที่มหาอำนาจตะวันตกกำลังต่อสู้อยู่? ขณะที่รัสเซียเห็นเครื่องบินของตัวเองและคนของตัวเองหายไปในกลุ่มควัน สิ่งที่ถูกแสดงออกมาก็คือจุดอ่อนจริงๆ ของแนวคิดนิยมความรุนแรงและวาระของการอุปถัมภ์กลุ่มหัวรุนแรง
พฤศจิกายนจนถึงตอนนี้เป็นเดือนที่ยากลำบาก เดือนแห่งโศกนาฏกรรม ความเศร้าเสียใจและความหวาดกลัว … ตั้งแต่การที่ไอซิสมุ่งเป้าโจมตีรัสเซีย, เลบานอน, ซีเรีย และปารีส ไปจนถึงการที่ตุรกีสอยเครื่องบินรบของรัสเซียเหนือเมืองลาตาเกียในอาณาเขตของรัสเซีย ความน่าสะพรึงกลัวได้ครอบงำเรื่องราวของโลก ทำให้อนาคตของเรามืดมนด้วยการพูดถึงสงคราม
อย่าเข้าใจผิด : การกระทำของตุรกีต่อรัสเซียเท่ากับเป็นการประกาศสงคราม โดยตำแหน่งของมอสโก สามารถตอบโต้อังการาได้อย่างชอบธรรมยิ่ง ภายในขอบเขตของกฎหมายระหว่างประเทศ แต่รัสเซียไม่ใช่สหรัฐฯ! รัสเซียจะไม่เพียงแค่ตีมือของศัตรู รัสเซียเข้าใจว่าถ้าสงครามเริ่มต้นง่ายๆ มันแทบจะไม่เป็นประโยชน์กับมหาอำนาจที่เข้าร่วมในสงครามนั้น อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ใช่ว่า “หมีขาวรัสเซียที่ยิ่งใหญ่” จะยืนมองประชาชนของตัวเองอยู่ในแนวกระสุนเฉยๆ เพียงแต่ว่า ผลประโยชน์ของชาติจะได้รับการรักษาไว้ได้ดีที่สุดโดยผู้นำที่ชาญฉลาดเท่านั้น ไม่ใช่ด้วยกองกำลังที่โหดร้าย
สันติภาพไม่ได้สร้างขึ้นด้วยเลือด แต่ต้องอาศัยความร่วมมือกัน และเสถียรภาพก็จะเกิดขึ้นได้ก็โดยผ่านการเป็นพันธมิตรและผลประโยชน์ร่วมกันเท่านั้น ไม่ใช่เพราะกลัวความกดดัน นั่นคือนโยบายที่มอสโกใช้มาตลอดทศวรรษที่ผ่านมาหรือราวๆ นั้น และนั่นคือหลักการพื้นฐานที่รัสเซียให้การสนับสนุน ในขณะที่กลุ่มอนุรักษ์นิยมใหม่มัวแต่ทะเลาะวิวาทกันเพื่อจะนำโลกไปสู่หนทางการแก้ปัญหาวิกฤติการณ์
ในด้านนั้น ประธานาธิบดีเรเซพ เออร์ดูกัน ของตุรกีดำเนินนโยบายผิดพลาดในการพัฒนาความสัมพันธ์ครั้งใหม่กับมอสโก ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ไม่มีท่าทีว่าจะถูกดึงลงไปสู่เกมการต่อสู้แบบตาต่อตาฟันต่อฟันกับอังการา และถ้าเออร์ดูกันคิดฝันเป็นครั้งที่สองว่าการเป็นสมาชิกนาโต้ของตนจะช่วยปกป้องเขาจากผลสะท้อนกลับทางการเมืองหรือทางทหาร 48 ชั่วโมงที่ผ่านมานี้ต้องพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าน่าผิดหวังอย่างแท้จริง เขาโดดเดี่ยวอย่างมากในพายุที่เขาสร้างขึ้น ไม่มี “พันธมิตร” ตะวันตกมาช่วยเออร์ดูกันขึ้นม้าขาว และแม้ว่าประธานาธิบดีบารัก โอบาม่าจะยืนยันว่าตุรกีมีสิทธิ์ทุกอย่างที่จะปกป้องน่านฟ้าของตน โดยแย้งว่ารัสเซียน่าจะระมัดระวังมากขึ้นเวลาโจมตีไอซิส แต่นั่นเป็นการพูดเอาใจทางการเมือง ไม่ใช่สัญญาอมตะว่าจะสนับสนุน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
ตุรกีเป็นสมาชิกจริงๆ ของนาโต้ก็ต่อเมื่อมันเหมาะสมกับนาโต้เท่านั้น! ฉันเชื่อว่าการที่อิสราเอลยิงขบวนเรือบรรเทาทุกข์ของตุรกีใกล้ชายฝั่งกาซ่าในปี 2010 แสดงให้เห็นถึงความสองมาตรฐานเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี
พักเรื่องการคำนวณผิดพลาดไว้ก่อน ตุรกีหวังจะได้อะไรจากการยิงเครื่องบินของรัสเซีย?
ขณะที่มีความสงสัยนิดๆ ในใจฉันว่าตุรกีไม่ได้ทำไปจากแรงกระตุ้นธรรมดาๆ หรือแม้แต่จากความกลัวจริงๆ ว่าอธิปไตยของตนกำลังตกอยู่ในอันตราย รายละเอียดเหล่านั้นจะปรากฏขึ้นในไม่ช้า แต่เรื่องจริงที่อยู่เบื้องหลังโศกนาฏกรรมครั้งนี้มันมากไปกว่าความขัดแย้งธรรมดาเรื่องอาณาเขตระหว่างสองมหาอำนาจระดับภูมิภาค
การที่ชาติหนึ่งจะเสี่ยงกับสงคราม เดิมพันจะต้องค่อนข้างสูง
ฉันขอพูดถึงสิ่งที่เรารู้ชัดกันอยู่แล้วก่อนที่จะลงลึกกันต่อไป
เริ่มต้นกับข้ออ้างของตุรกีและมหาอำนาจตะวันตกชาติอื่นๆ ที่ว่า รัสเซียกำลังมุ่งเป้าโจมตีพื้นที่พลเรือนในเมืองลาตาเกียได้ถูกหักล้างไปด้วยวีดีโอที่เผยแพร่โดย “นักรบสายกลาง” ของอเมริกา เผยแพร่ภาพหนึ่งในนักบินรัสเซียที่เครื่องบินตก นั่นเป็นคำโกหกแรก ตามที่มัรวา อุสมาน ยืนยันในบทวิจารณ์ของเธอว่า คนเหล่านั้นที่อยู่ในพื้นที่ ไม่ใช่พลเรือน
หลังจากนั้น ประธานาธิบดีโอบาม่าได้ออกมาพูดว่า “พวกเขา (รัสเซีย) กำลังปฏิบัติการใกล้กับชายแดนตุรกีเป็นอย่างมาก และพวกเขากำลังไล่ล่าฝ่ายต่อต้านสายกลางที่ไม่ใช่ได้รับการสนับสนุนจากตุรกีเท่านั้น แต่จากหลายประเทศ”… โกหกอีกคำหนึ่ง ประโยคนี้เป็นการยืนยันชัดเจนว่ามหาอำนาจตะวันตกได้สมรู้ร่วมคิดกับกลุ่มหัวรุนแรงเพื่อดำเนินตามวาระของพวกเขาในภูมิภาคนี้ แต่ไม่ใช่เท่านั้น มันยังเปิดผ้าคลุมที่ปกปิดการติดต่อสัมพันธ์ของตุรกีในดินแดนลาตาเกีย – ซึ่งเป็นแหล่งประกอบการน้ำมันเถื่อนของไอซิส อีกด้วย
เรารู้ว่าพื้นที่ลาตาเกียกำลังเจริญก้าวหน้าไปด้วยกลุ่มนักรบติดอาวุธที่มีลักษณะเหมือนกันกับอัล-นุสรอ ไอซิส และกลุ่มก่อการร้ายอื่นๆ เรายังรู้อีกด้วยว่า ลาตาเกียเป็นฐานที่มั่นทางการเงินที่สำคัญที่มีพื้นที่น้ำมันและก๊าซหลายพื้นที่อยู่ภายใต้การควบคุมของพวกนักรบ สุดท้าย และนี่เป็นเรื่องใหญ่ ลาตาเกียเป็นเหมืองทองทางภูมิยุทธศาสตร์ในด้านที่มันเป็นช่องทางตรงเข้าสู่ตุรกี จึงทำให้มีการขนส่งคน อาวุธ และของเถื่อนที่มากไปกว่าแค่ความสะดวกเล็กน้อย
เส้นเลือดระหว่างตุรกีกับไอซิสนี้มีมูลค่าหลายล้าน ถ้าไม่ใช่หลายพันล้าน ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่มันยังให้โอกาสทางการเมืองอีกด้วย
ทีนี้คุณเห็นไหมว่า ทำไมการโจมตีของตุรกีจึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติ? ตุรกีกระแทกใส่รัสเซียก็เพราะรัสเซียไปกระทบประสาทไวสัมผัสของมันเข้า
ถ้ามองให้ลึกกว่านั้น ปฏิกิริยาสวนกลับทันควันของเออร์ดูกันต่อความคืบหน้าในซีเรียของประธานาธิบดีปูตินเป็นประจักษ์พยานถึงความสำเร็จของมอสโกในการจัดการกับไอซิล ดังนั้น จะเกิดอะไรขึ้นถ้ารัสเซียไปสะดุดเข้าจริงๆ กับปืนก่อการร้ายที่พ่นควันจากตุรกี จะเกิดอะไรขึ้นถ้าลาตาเกียคือกุญแจสำคัญที่จะไขไปสู่ “ผู้อุปถัมภ์ที่มองไม่เห็น” ของไอซิส?
นั่นคือคำถามที่มอสโกจะต้องร้องขอคำตอบอย่างไม่ต้องสงสัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ตอนนี้นายเซอร์กี ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศได้ยืนยันในการแถลงข่าวว่า “หลักฐานต่างๆ บ่งบอกว่า การยิงเครื่องบินตกตรงที่นั้นได้ถูกวางแผนไว้ก่อนแล้ว”
อีกแง่มุมหนึ่งของเหตุการณ์นี้จำเป็นจะต้องได้รับการพิจารณาเมื่อมีการประเมินนัยยะที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
การโจมตีรัสเซียสามารถเอื้อประโยชน์ให้กับวาระทางการเมืองอีกทางหนึ่ง
ขอให้พิจารณาเรื่องนี้ : ทุกวันที่รัสเซียและซีเรียทำลายเครือข่ายก่อการร้าย ทุกวันที่ประชาชนได้กลับบ้านของพวกเขา สหรัฐฯ และหุ้นส่วนชาติตะวันตกของมันกำลังสูญเสียความน่าเชื่อถือทางการเมืองและทางทหารไป
ภายในตรรกะนี้ และในมุมมองของการจัดการที่ผ่านมา มันจะไม่น่าเป็นไปได้หรือที่จะสันนิษฐานว่าตุรกีมีเป้าหมายที่จะหันเหเรื่องราวในสื่อออกไปจากสงครามต่อต้านการก่อการร้าย และหันกลับไปที่เรื่องสงครามเย็นระหว่างตะวันออกกับตะวันตกแบบเก่า?
อย่างไรก็ตาม ถ้าสาธารณชนจะต้องใช้ชีวิตอยู่ในความหวาดกลัวว่าจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 การก่อการร้ายก็จะต้องยอมให้สื่อทำการทดสอบความถูกต้องอีกครั้ง
ที่มา http://www.rt.com/op-edge/323541-turkey-isis-plane-russia/
เขียนโดย แคเธอรีน ชัคดัม