หลักคำสอน “วะฮาบี” ส่งเสริมโดยซาอุฯ บิดเบือนศาสนาอิสลาม

2451

เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2560 ที่เมืองมาราวีทางตอนใต้ของฟิลิปปินส์ นักรบญิฮาดิสต์มุสลิมที่ได้ให้คำมั่นว่าจะจงรักภักดีต่อ “ไอซิส” (ISIS) ก็เริ่มก่อกบฏ มีคนถูกฆ่าตายหลายร้อยคน ชาวเมืองมาราวีซึ่งส่วนใหญ่เป็นมุสลิมต้องหนีออกจากเมือง บนเว็บไซต์ของญิฮาดิสต์ผู้ก่อกบฏเขียนว่า: “หากคุณไม่สามารถไปถึงซีเรีย ก็จงไปที่ฟิลิปปินส์!” [1] กลุ่มกบฏเหล่านี้ได้รับแรงบันดาลใจจากรูปแบบนิกายของชาวมุสลิมซุนหนี่เรียกว่า “วาฮาบี” (Wahhabi)

แนวคิด “วะฮาบี” ได้รับการตั้งชื่อตามนักเทศน์และนักกิจกรรมในศตวรรษที่สิบแปด “มูฮัมหมัด อิบนุ อับดุลวาฮาบ” (1703–1792) เขาเกิดใกล้ริยาดและเริ่มขบวนการปฏิรูปที่สุดโต่งของศาสนาอิสลามในพื้นที่ห่างไกลที่มีประชากรกระจัดกระจายของเมืองนัจด์ (Najd) เขาตีความคำภีร์อัลกุรอานแบบสุดโต่ง แตกต่างไปจากซุนนีแบบดั้งเดิมที่มีความใจกว้างและอะลุ่มอล่วยกว่า

แนวคิดอิบนุวาฮาบ เชื่อว่า ผู้หญิงที่ล่วงประเวณีควรถูกตัดหัว เขาท้าทายการปฏิบัติอย่างกว้างขวางที่พบในหมู่ชาวมุสลิมซุนนีเดิมเกี่ยวกับความเลื่อมใสศรัทธาต่อนักบุญและการเยี่ยมสุสานของพวกเขา การปฏิบัติเหล่านี้มูฮัมหมัด อิบนุ อับดุลอัลวะฮาบ ถือว่า เป็นการตั้งภาคีต่อพระเจ้า (ชิริก) และการทรยศต่อศาสนาอิสลามอย่างแท้จริง .. ตามคำสอนของเขามุสลิมผู้เคร่งศาสนาจะต้องมุ่งเน้นไปที่อัลลอฮโดยสิ้นเชิงเท่านั้น

ในที่สุดเขาก็ทำสัญญากับผู้นำท้องถิ่น “มูฮัมหมัด บินซาอุด” เสนอที่จะแบ่งอำนาจทางการเมืองแก่มูฮัมหมัด บินซาอูด ซึ่งในทางกลับกันเขาสัญญาว่าจะให้การคุ้มครองและสนับสนุนขบวนการวาฮาบี ซึ่งวันนี้คำสอนของอิบนุวาฮาบเป็นรูปแบบที่เป็นทางการและได้รับการสนับสนุนจากรัฐซาอุดิอาระเบีย

ด้วยความช่วยเหลือของเงินทุนที่ได้จากการส่งออกน้ำมันของซาอุดีอาระเบีย การเคลื่อนไหวของขบวนการวะฮาบีนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วโลกมุสลิม จากกลุ่มโบโกฮารัม (Boko Haram) ในไนจีเรีย ไปยังกลุ่มอาบูไซยาฟ ในมินดาเนา ฟิลิปปินส์ ล้วนยึดถือตามแนวคำสอนของอิบนุวาฮาบ มุสลิมผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามแนวทางนี้ เช่น ชีอะห์ หรือ ซูฟี หรือคริสเตียน “ควรถูกฆ่า, ภรรยาและลูกสาวของพวกเขาต้องถูกละเมิด และยึดทรัพย์สินของพวกเขา”

เดวิด แมควิลเลียม (David McWilliams) นักหนังสือพิมพ์ชาวไอริชกล่าวไว้ว่า “ถ้าคุณติดตามเงินทุกสายของพวกหัวรุนแรง (อิสลามิสต์) ก็จะนำกลับไปหาซาอุดิอาระเบีย” “จากการจี้เครื่องบินในเหตุการณ์ 9/11, บินลาเด็น, หัวหน้าฝ่ายการทหารของกลุ่มอัลกออิดะห์ของเขา และตอนนี้ “ไอซิส” องค์กรหัวรุนแรงเหล่านี้คือลูกหลานของมูฮัมหมัด อับดุลอัลวะฮาบ นักการศาสนาที่ออกมาจากทะเลทรายในยุค 1730 และสถาบันที่เขาตกลงเป็นพันธมิตรในปี 1745 คือราชวงศ์ซาอูด” [2]

มีเงินจำนวนมากที่เกี่ยวข้องกับวะฮาบี เพราะเป็นเวลา 70 ปีแล้วที่ซาอุดิอาระเบียได้จ่ายเงินเพื่อก่อสร้างมัสยิดและอาคารทางศาสนาทั่วโลก ซึ่งในกระบวนการนี้ได้นำมาซึ่งการแพร่กระจายของแนวคิดวะฮาบี เชื้อเพลิงหลักคำสอนนิกายนี้ และเป็นแรงบันดาลใจให้พวกหัวรุนแรงซุนนีในตะวันออกกลาง เอเชีย สหรัฐอเมริกา และยุโรป

ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของสิ่งที่เกิดขึ้น ในเดือนเมษายน 2560 บังคลาเทศได้อนุมัติการก่อสร้างมัสยิดใหม่จำนวน 560 แห่ง โครงการดังกล่าวได้รับการสนับสนุนด้านการเงินจากรัฐบาลซาอุดิอาระเบีย ตามที่ “เรซูล ฮัก จันปูรี (Rezaul Haq Chandpuri) ซึ่งเป็นสมาชิกของสหพันธ์มุสลิมซูฟีกล่าว การจัดหาเงินทุนของซาอุดิอาระเบียเป็นเรื่องที่น่ากังวล เนื่องจาก {พวกเขา} “สามารถใช้เงินของพวกเขาเพื่อส่งเสริมแนวคิดวะฮาบี” [3]

นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษ “ชาร์ลส์ อัลเลน” (Charles Allen) หนึ่งในนักวิชาการไม่กี่คนที่ศึกษาแง่มุมทางเศรษฐกิจของการทูตทางศาสนาของซาอุดิอาระเบียเชื่อว่า ซาอุดิอาระเบียได้ใช้เงินไปแล้วกว่า 7 หมื่นล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2.2 ล้านล้านบาท) ตั้งแต่ปี 2522 โครงการเหล่านี้รวมถึงมัสยิด โรงเรียน และศูนย์วัฒนธรรมอิสลามทั่วโลก – จากบรัสเซลส์ (เบลเยียม) ไปจนถึงอีฟว์ลีน (ฝรั่งเศส) จากโคโซโวถึงจีน สหราชอาณาจักร ไอร์แลนด์ อัฟกานิสถาน หรือแอฟริกา [4]

นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งระบบทุนการศึกษาเพื่อให้นักเทศน์จากส่วนต่างๆ ของโลกสามารถไปศึกษาต่อในประเทศซาอุดิอาระเบียเป็นเวลาหลายเดือน เมื่อพวกเขากลับไปยังประเทศของตนเอง อิหม่ามเหล่านี้ก็เผยแพร่วิสัยทัศน์ที่สุดโต่งของกุรอานตามที่พวกเขาได้รับการสอน

นายเปียร่า โกเนซ่า (Pierra Conesa) เจ้าหน้าที่อาวุโสของกระทรวงกลาโหมฝรั่งเศสกล่าวในการให้สัมภาษณ์กับนิตยสารเลอปอง (Le Point) เมื่อเดือนกันยายน 2560 ว่า จากตัวเลขของเขามีคน 30,000 คนที่ได้รับการฝึกฝนในมหาวิทยาลัยอิสลามในซาอุดิอาระเบีย” [5]

ประเทศไทยก็เช่นกัน แม้ไม่มีการทำสถิติตัวเลขที่แน่ชัด แต่โดยรูปธรรมตลอดระยะเวลา 30-40 ปีมานี้นับตั้งแต่การเข้ามาของแนวคิดวะฮาบี และการกลับมาของผู้สำเร็จการศึกษาจากซาอุดิอาระเบีย ก็เห็นได้ชัดว่าความแตกแยกในสังคมมุสลิมซุนนีแบบดั้งเดิมปะทุสูงขึ้นเรื่อยๆ มีการสร้างมัสยิดเล็กมัสยิดน้อยตามชุมชนจนเกิดขัดแย้งกันถ้วนหน้า

นอกจากนั้นก็มีการสร้างสถาบันการศึกษาและเครือข่ายองค์กรที่เข้าแทรกซึมและไปมีอิทธิพลในคนรุ่นใหม่ เหมือนๆ กับที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยมีเงินทุนจากซาอุดิอาระเบียเพื่อเส่งเสริมอุดมการณ์แบบวะฮาบีให้แพร่หลายต่อไป

 

อ้างอิง

[1] Renaud Girar, “ Philippines To Indonesia, Wahhabism Is Spreading In Asia,” LE FIGARO August 15th 2017. https://www.worldcrunch.com/opinion-analysis/philippines-to-indonesia-wahhabism-is-spreading-in-asia

[2] David McWilliams, “Follow the money and all radical Islamist roads lead back to Saudi Arabia,” The Irish Independent, November 18th 2015, page 26.

[3] Malo Tresca,”How Saudi Arabia exports Wahhabism,” August 22nd 2017. https://international.la-croix.com/news/how-saudi-arabia-exports-wahhabism/5095

[4] เล่มเดิม

[5] เล่มเดิม