วิเคราะห์: มาเลเซียยุติความร่วมมือทางทหารกับซาอุดีอาระเบีย

702

การยุติความร่วมมือทางทหารของมาเลเซียที่มีต่อซาอุดีอาระเบีย ทำให้ซาอุฯต้องสูญเสียหนึ่งในฐานของตนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมาเลเซียประกาศว่า ประเทศนี้จะยุติความร่วมมือทางทหารกับซาอุดิอาระเบียในสงครามรุกรานเยเมน

ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นาย “มุฮัมมัด ซาบู” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของมาเลเซียได้ประกาศยุติความร่วมมือทางทหารกับซาอุฯ ในประการนี้ สืบเนื่องจากความพยายามของประเทศมาเลเซียที่จะรักษานโยบายให้เป็นกลางในสงครามในเยเมน และรัฐบาล “กัวลาลัมเปอร์” ไม่ต้องการที่จะสนับสนุนอุดมการณ์ทางการเมืองของประเทศใดๆ

เขากล่าวเสริมว่า : “คณะรัฐมนตรีได้ตัดสินใจ (ในการถอนกองกำลังทหาร) เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เรากำลังรอความพร้อมของกองกำลังมาเลเซียที่จะออก (จากซาอุดิอาระเบีย)”

จุดยืนใหม่ของมาเลเซียถูกประกาศไม่ถึงหนึ่งเดือนหลังจากการหมดอำนาจลงของรัฐบาล “นาญีบ ราซัค” อดีตนายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย “นาญีบ ราซัค” ถูกบังคับให้ลาออกจากอำนาจ หลังจากถูกเปิดโปงการทุจริตและการรับสินบนจากซาอุดีอาระเบีย ระหว่างที่ ดร.”มาฮาเธร์ บิน โมฮัมมัด” ได้รับการเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีมาเลเซียคนใหม่ อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย นายิบ ราซัค มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับซาอุดิอาระเบีย และถูกกล่าวหาว่าทุจริตร่วมกับซาอุดิอาระเบีย

จากมุมมองของวงการการเมืองในภูมิภาค เชื่อว่า การถอนตัวของมาเลเซียจากกลุ่มพันธมิตรทางทหารของซาอุดีอาระเบียในสงครามเยเมนเป็นความพ่ายแพ้อีกครั้งสำหรับผู้ปกครองของซาอุดีอาระเบีย

มาเลเซียถอนตัวออกจากกลุ่มพันธมิตรซาอุดีอาระเบียในการรุกรานเยเมน คือความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ของซาอุดิอาระเบีย

ประเด็นนี้สามารถพิจารณาในสองมุมมอง : ประการแรก พันธมิตรของซาอุดิอาระเบียได้รับความพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์ในสงครามเยเมน และกลุ่มอาสาสมัครเยเมน ได้ทำให้ซาอุดิอาระเบียตกหลุมพรางและได้รับความเสียหายอย่างมาก และทุกวันนี้ผู้ปกครองของซาอุดีอาระเบียก็ตกอยู่ในสภาพที่อับอายขายหน้ามากขึ้นทุกวัน

ประการที่สอง การกลับมาของ “มหาเธร์ โมฮัมหมัด” นายกรัฐมนตรีของประเทศมาเลเซีย ทำให้นโยบายที่มีต่อโลกมุสลิมของมาเลเซียมีการเปลี่ยนแปลง และกัวลาลัมเปอร์สนับสนุนขบวนการต่อต้านการยึดครองที่เป็นที่นิยมในปาเลสไตน์และเยเมน

เมื่อพิจารณาเกี่ยวกับการสนับสนุนของผู้ปกครองซาอุดีอาระเบียต่อกลุ่มผู้ก่อการร้าย ISIL และการกระทำที่น่าอัปยศเมื่อไม่นานมานี้ของเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บินซัลมาน แห่งซาอุดิอาระเบีย ในการสร้างสัมพันธ์ที่ชิดใกล้กับระบอบยิวไซออนิสม์ ทำให้มาเลเซียเปลี่ยนท่าที่ต่อจุดยืนที่มีต่อซาอุดิอาระเบีย อันนำมาซึ่งความพ่ายแพ้ของซาอุดิอาระเบียในนโยบายการเมืองระหว่างประเทศ

Al-Tamimi ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองอาหรับ กล่าวว่า:แม้ว่านาญีบ ราซัค ถูกบังคับให้ลาออกจากอำนาจ หลังจากถูกเปิดโปงการทุจริตและการรับสินบนจากซาอุดีอาระเบีย แต่เนื่องจากความเป็นไปในการที่เขาจะต้องถูกตัดสินลงโทษนั้น สร้างความกังวลให้กับผู้ปกครองของซาอุดีอาระเบียว่า พวกเขาจะถูกจับตามองจากผลพวงของความพ่ายแพ้ของฝ่ายพันธมิตรมาเลเซีย เพราะเจ้าชายซาอุฯ มีส่วนเกี่ยวข้องในการขโมยเงินจากกองคลังของมาเลเซียและการทุจริตขนาดใหญ่ของอดีตนายก ราซัค

การตัดแขนขาซาอุดิอาระเบียในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลังการขึ้นเป็นผู้นำของ มหาเธร์ โมฮัมหมัด
ด้วยการเปลี่ยนแปลงของรัฐบาลในประเทศมาเลเซีย ซาอุดีอาระเบียและลัทธิวาฮาบีได้สูญเสียฐานหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างอดีตนักการเมืองมาเลเซียกับเหล่าผู้ปกครองประเทศซาอุดีอาระเบียนั้นถือเป็นโอกาสที่ดี ซึ่งเอื้อต่อการพัฒนาอิทธิพลของลัทธิวาฮาบีในประเทศมาเลเซีย ทำให้วงการศาสนาได้ออกมาเตือนหลายครั้ง เกี่ยวกับผลกระทบที่จะตามมา รวมทั้งการแพร่กระจายของความคิดหัวรุนแรงและความคลั่งไคล้ในมาเลเซีย

มารีน่า มาฮาเธร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองและลูกสาวของนายกรัฐมนตรีมาเลเซียกล่าวว่า “ด้วยอิทธิพลของซาอุดีอาระเบีย การเคลื่อนไหวในมาเลเซียเริ่มก้าวไปสู่ความคิดสุดโต่งและคลั่งไคล้ การเปลี่ยนเสื้อผ้าและการใช้เสื้อผ้าอาหรับในประเทศนี้ เป็นสัญญาณของการแพร่กระจายของความคลั่งไคล้ และบางคนกำลังพยายามให้บังคับใช้กฎหมายตามแบบซาอุดิอาระเบียในมาเลเซีย”

ไม่ว่าในกรณีใดๆ คนมาเลเซีย โดยเฉพาะสตรีในประเทศนี้ได้รับการศึกษาและตระหนักถึงเป้าหมายของซาอุดิอาระเบียในการแพร่กระจายความคลั่งไคล้ และในการเลือกตั้งล่าสุดของมาเลเซีย ด้วยการลงคะแนนให้กับ ดร.มาฮาเธรด โมฮัมมัด ไม่เพียงแต่ได้กำหนดความพ่ายแพ้อย่างหนักไปยังนายกรัฐมนตรีนายิบ ราซัค ของมาเลเซีย แต่ยังแสดงให้เห็นว่า พวกเขาจะไม่อนุญาตให้ซาอุดีอาระเบียและลัทธิวาฮาบี ใช้อำนาจทางการเงิน ในการซื้อมาเลเซียให้กลายเป็นข้าสมุนของซาอุดิอาระเบียอีกต่อไป

Source: parstoday