หลังจากช่วงครบรอบการโจมตีของ ISIL ภายในเมืองมาราวี ประเทศฟิลิปปินส์ ที่มีประชากรมุสลิมเป็นส่วนใหญ่ ทางคณะกรรมการระหว่างประเทศของสภากาชาด ได้บอกเล่าและนำเสนอเกี่ยวกับภัยพิบัติ และความทุกข์ยากที่เกิดขึ้นกับประชาชนในเมืองนี้
การปะทะกันในเมือง Marawi เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2560 ในจังหวัด Lanau del Sue ทางตอนใต้ของฟิลิปปินส์ สิ่งที่ชาวบ้านส่วนใหญ่คิดว่าเป็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆระหว่างกองกำลังของรัฐบาลกับสมาชิกกลุ่มก่อการร้าย ISIS ใน Lanau del Sue ได้กลายเป็นสงครามกลางเมืองที่รุนแรงและยาวนานถึง 5 เดือน ในช่วงเวลานี้ มากกว่า 300,000 คนต้องหนีออกจากบ้านของพวกเขาและกลายเป็นบุคคลพลัดถิ่น
ในขณะที่บางครอบครัวเริ่มกลับมาสร้างชีวิตใหม่ของพวกเขาในเมืองนี้ ซึ่งประมาณ 230,000 คน รวมทั้งประชาชนในพื้นที่หลังก ที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งยังคงเร่ร่อน และพลัดถิ่นไปจนถึงทุกวันนี้ บางคนยังไม่ได้พบ หรือทราบข่าวเกี่ยวกับชะตากรรมของบุคคลอันเป็นที่รักของพวกเขา
พวกเขาได้สะท้อนความรู้สึกเกี่ยวกับเรื่องราวของโชคชะตา การต่อสู้ ความทุกข์ทรมาน ความหวัง และความอดทนของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อความขัดแย้งใน Marawi
ICRC ในการประสานงานกับหน่วยงานและองค์กรบรรเทาทุกข์อื่น ๆ มีความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนผู้ที่หลบหนีจากการต่อสู้และมุ่งมั่นที่จะจัดการกับข้อบกพร่องของการตอบสนองโดยรวมในช่วงต้นต่อการฟื้นตัวของสถานการณ์ และมีความมุ่งมั่นที่จะประสานงานกับทางการและองค์กรบรรเทาทุกข์อื่น ๆ
นาง Diane ชาวตำบล Sagoirians เผยว่า “สามีและตัวฉันไม่ทราบว่าเราจะไปที่ไหน หรือจะขอความช่วยเหลือจากที่ไหน เราเดินตามคนที่ย้ายออกจากเมืองมาราวี หนึ่งปีหลังจากความขัดแย้งเรายังไม่ทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา ฉันรู้สึกถึงความหนักอึ้งของเรื่องนี้ และยอมรับว่ามีหลายครั้งที่ฉันรู้สึกว่าฉันต้องยอมแพ้ แต่เพื่อประโยชน์ของลูก ๆ ของฉัน ฉันพยายามที่จะรักษาตัวให้แข็งแกร่งขึ้น”
Jalil จากเมือง Marawi กล่าว “เราพร้อมกับอีก 50 คนหลบซ่อนตัวในสถานที่แห่งหนึ่งที่มีระยะห่างเพียง 10 เมตรจากบ้านของเรา พ่อแม่ของฉันรู้ว่า พวกเขาไม่สามารถไปไหนได้จึงตัดสินใจกลับบ้าน นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันเห็นพวกเขา เมื่อใดก็ตามที่มีรายงานมาจากคนเสียชีวิต ฉันก็รุดไปที่ Kapin (สถานที่จัดงานศพ) โดยที่พวกเขากล่าวว่าดูเหมือนว่าคุณกำลังมองหาบางสิ่งที่หายไปและไม่สามารถหามันได้ นี่เป็นส่วนของความเจ็บปวดของเรื่องนี้
Jahara จากเมือง Marawi กล่าวว่า “ฉันสอนภาษาอังกฤษที่มหาวิทยาลัย Maardu Mindanao การเปิดชั้นเรียนถือเป็นงานที่ยากมาก เพราะบางครั้งเราต้องตะโกนสอนเมื่อเกิดเสียงระเบิดดังขึ้น บางครั้งเสียงระเบิดดังสนั่นจนทำให้นักเรียนตกใจกลัว เราต้องหยุดการทำงาน(การสอน)เพราะพวกเขาไม่เข้าใจในสิ่งที่ฉันพูด มันเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายสำหรับฉัน ถึงแม้ว่าฉันจะมีความสุขที่สามารถสอนให้จบเทอมหนึ่งของการศึกษา”
Sohila จากเมืองมาราวี เล่าถึงเรื่องอาชญากรรมที่เกิดขึ้นนี้ว่า: ฉันสามารถมองดูเหตุการณ์วุ่นวายทั้งหมดจากร้านค้าของฉัน เมื่อเห็นว่าผู้คนกำลังหลบหนีไปยังที่ที่ปลอดภัย ขณะที่พวกเขาตกตะลึงในสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวพวกเขา ฉันรู้สึกโกรธ สามีและฉันไม่ได้หนีออกจากเมืองโดยหวังว่าการต่อสู้จะจบลงในไม่ช้า เราต้องติดอยู่ในเมืองเป็นเวลาหลายวัน พร้อมกับอาหารที่มีอยู่เล็กน้อย เราควรจะได้กินอาหารและน้ำที่เรามี และควรจำกัดตัวเองให้ทานอาหารหนึ่งมื้อต่อวัน ตอนนี้เราได้โอกาสที่จะกลับบ้านเราแล้ว ซึ่งเราต้องการที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง
Jahaniya ชาวตำบล Saghuiar อธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า “เมื่อเราให้กำเนิดลูกของเรา เราไม่สามารถแม้แต่จะได้รับความช่วยเหลือจากญาติของเราเลย เพราะมันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพวกเขาที่จะมาหาเรา หนึ่งเดือนหลังจากได้รับสิ่งของบรรเทาทุกข์ สถานการณ์ยังคงเป็นเรื่องยากลำบากเพราะเราไม่มีแหล่งรายได้อื่น ๆ”
Mohammed จากเมืองมาราวีกล่าวว่า “พวกเขาเริ่มที่จะไล่ผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่ออกจากศูนย์สุขภาพ แต่ในฐานะที่เราเป็นพยาบาลในห้องฉุกเฉิน เราได้รับคำสั่งไม่ให้ออกจากโรงพยาบาล เราต้องเป็นคนคอยปฐมพยาบาลให้กับผู้บาดเจ็บ มันเป็นเรื่องที่น่ากลัวสำหรับผม แต่ผมก็ทำใจไม่ได้ที่จะหยุดงานในจุดกึ่งกลางของการต่อสู้ มันเศร้ามากที่เมืองของคุณที่เป็นเมืองที่สวยงาม ต้องกลายเป็นซากปรักหักพัง”
Abdullah จาก Marawi เล่าเหตุการณ์อันน่าสลดใจว่า “ผมเป็นคนขับรถของคณะกรรมการกาชาดสากล เมืองMarawi เป็นบ้านเกิดของผม ในช่วงสามวันแรกของการปะทะ ครอบครัวของผมไม่ยอมที่จะออกจากบ้าน แต่เมื่อเห็นแล้วว่าการสู้รบจะดำเนินต่อไป พวกเขาก็ตัดสินใจที่จะเข้าไปหลบภัยในที่สถานที่หลบภัย แม้ว่าผมจะมีความกังวลในเรื่องความปลอดภั”ยของครอบครัว และด้วยตำแหน่งและหน้าที่การงานของผม จึงต้องทำหน้าที่เสี่ยงอันตรายช่วยเหลือหลายร้อยครอบครัวออกจากเมืองในช่วงวิกฤตินี้ ตอนนี้ครอบครัวของผมได้กลับมาบ้านแล้ว ผมรู้สึกขอบคุณจริงๆที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา”
Source: iuvmpress