พิธีอาชูรอกับอัตลักษณ์มุสลิมนิกายชีอะฮ์ ศึกษาเชิงวิเคราะห์ วิจักษ์และวิธาน

4491


อัล-กุรอาน: “จงเล่าเรื่องราวเหล่านั้นเถิด เพื่อหวังว่าพวกเขาจะใช้ปัญญาไตร่ตรอง”(บทอัลอะร็อฟ โองการที่ 176)

โดย ทั่วไปผู้ที่บูชาวีรบุรุษหรือหลงใหลต่อนักต่อสู้นั้น เกิดมาจากจิตใต้สำนึกของความเป็นมนุษย์ โดยเฉพาะเมื่อไหร่ก็แล้วแต่ที่คนหนึ่งต้องการจะถ่ายทอดความเป็นวีรบุรุษนั้น เขาจะชื่นชมและนิยมต่อบุคคลที่เป็นวีรบุรุษนั้น โดยแสดงออกถึงความภาคภูมิใจในตัวของเขาผู้นั้น โดยเฉพาะนักสู้ผู้กล้า ที่เป็นวีรบุรุษได้ยอมเสียชีพเพื่อปกป้องในเกียรติยศและศักดิ์ศรี ประชาชนจะนำเขาเหล่านั้นเป็นบุคคลต้นแบบและเป็นสื่อในการต่อสู้ของพวกเขา ไม่ว่าผู้ที่เป็นวีรบุรุษของเขานั้นจะอยู่ในฐานะใดและจะเป็นแรงบันดาลใจต่อ การสู้และการยืนหยัดเพื่อคุณธรรมอยู่ตลอดเวลา

อิมามฮุเซน อิบนิ อะลี อิบนิ อะบี ฏอลิบ(Hussein ibn Abi Talib) ถือกำเนิดปี ฮ.ศ.ที่ 4 เป็นบุตรของอิมามอะลี (อ) กับท่านหญิงฟาติมะฮ์ บุตรีศาสดามุฮัมมัด เป็นน้องชายของอิมามฮะซัน

ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) มีความยินดีในการเกิดมาของท่านอิมามฮุเซนอย่างยิ่ง ท่านศาสดาเมื่อทราบข่าวการถือกำเนิดของหลานคนนี้ ท่านได้รีบไปที่บ้านของฟาฏิมะฮ์บุตรสาวของท่านทันที เพื่ออวยพรให้แก่นางในการคลอดบุตรคนใหม่ ท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ็อลฯ)ผู้เป็นตาได้อะซาน(การเชิญชวนสู่การเคารพภักดี)ที่ หูขวาและอิกอมะฮ์(เตรียมความพร้อมสู่การเคารพภักดี)ที่หูซ้าย และตั้งชื่อเรียกท่านว่า “ฮูเซน”

ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ได้กล่าวว่า

“ฮูเซนนั้นมาจากฉันและฉันก็มาจากฮูเซน เขาคืออิมามบุตรของอิมาม เชื้อสายของเขาเก้าคนจะเป็นอิมามคนสุดท้ายในหมู่พวกเขา ได้แก่ อัล มะฮ์ดี ซึ่งเขาจะมาปรากฏในยุคสุดท้าย เขาจะทำให้แผ่นดินเต็มไปด้วยความเที่ยงธรรมและยุติธรรมหลังจากที่มันเคยถูก ทำให้เต็มไปด้วยความอธรรมและความเลวร้าย”

 

อุดมการณ์ของอิมามฮูเซน (อ.)

อิมามฮูเซน ประกาศการคัดค้านการให้สัตยาบันต่อยะซีดและได้ต่อสู้ต่อต้านผู้ปกครองในสมัย นั้นโดยยึดหลักการต่อสู้ตามคำสอนของอิสลาม ดังที่ท่านอิมามฮูเซน (อ.) ได้กล่าวไว้ในคำสั่งเสียต่อน้องชาย (ต่างมารดา) ของท่านคือ มุฮัมมัด บินฮะนีฟะฮ์ ว่า

“แท้จริง ฉันมิได้ออก(เดินทาง)ไปในฐานะผู้ก่อความเสียหายและผู้อธรรม หากแต่ฉันออกไปเพียงเพื่อเรียกร้องให้มีการแก้ไขปรับปรุงในประชาชาติแห่ง ท่านตาของฉัน ฉันต้องการจะสั่งสอนในเรื่องคุณธรรม และยับยั้งห้ามปรามจากสิ่งชั่วร้าย และฉันจะเดินตามแนวทางของท่านตาของฉันและของบิดาของฉัน อะลี อิบนิ อบีฏอลิบ (อ.)”

 

อิมามฮูเซน(อ)ในวันอาชูรอ

ในวันที่ 10 มุฮัรรอมท่ามกลางความร้อนระอุในทะเลทรายแห่งแผ่นดินกัรบาลาห์ อิมามฮูเซน (อ.) ได้ตักเตือนประชาชน และเรียกร้องให้พวกเขาเกรงกลัวต่อบทลงโทษอันเกิดจากการกระทำของพวกเขา ดังนี้ว่า

“ประชาชนทั้งหลาย พวกท่านจงสืบสาวดูซิว่าฉันคือใคร แล้วจงย้อนกลับไปตำหนิตัวพวกท่านเอง จงตรึกตรองดูซิว่าการฆ่าฉันและการทำลายล้างเกียรติยศของฉัน เป็นที่ยินยอมแก่พวกท่านกระนั้นหรือ? ฉันมิใช่บุตรของลูกสาวศาสดาของพวกท่านดอกหรือ? มิใช่บุตรของทายาทของท่านศาสดาและบุตรของลุงของท่านศาสดา ซึ่งเป็นผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และเชื่อถือต่อศาสนทูตของพระองค์เป็นคนแรกดอก หรือ? หรือว่าฮัมซะฮ์ประมุขของบรรดาผู้พลีชีวิตมิได้เป็นท่านอาของบิดาของฉัน? หรือว่าญะอ์ฟัร อัฏ ฏ็อยยาร มิได้เป็นลุงของฉัน? คำสอนของท่านศาสดาในเรื่องของฉันและพี่ชายของฉันยังไม่เป็นที่ล่วงรู้สำหรับ พวกท่านอีกหรือ ที่ว่าเราสองคนนี้คือประมุขของของชายหนุ่มชาวสวรรค์?”

พวกเขากล่าวแก่อิมามฮูเซน (อ.) ว่า

“จงให้สัตยาบันแก่ยะซีดเหมือนกับพี่พวกเขาให้สัตยาบันไปแล้วเถิด”

อิมามฮูเซน (อ.) ตอบอย่างแข็งกร้าวว่า “ไม่เด็ดขาด ขอสาบานต่ออัลลฮ์ฉันจะไม่ยื่นมือของฉันให้แก่พวกเขาด้วยการยื่นให้อย่าง ต่ำต้อย และฉันจะไม่วิ่งหนีเหมือนอย่างการวิ่งหนีของบ่าวไพร่”

อุมัร อิบนิ สะอัดแม่ทัพของทหารฝ่ายยะซีดได้ออกคำสั่งให้โจมตีค่ายของฮูเซน (อ.) และเกิดการปะทะกันขึ้น ทำให้มีผู้พลีชีพและล้มตายไปจำนวนมากและยังเหลืออยู่กับอิมามฮุเซน(อ)เพียง จำนวนน้อย ทั้งสหายธรรมและสมาชิกในครอบครัว ในที่สุดพวกเขาได้ก้าวออกไปสู่ความตายคนแล้วคนเล่า ด้วยความกล้าหาญและทรหดโดยไม่รู้สึกหวาดกลัวเลย

เมื่อสหายและสมาชิกครอบครัวของฮูเซนพลีชีพไปหมดแล้ว ยังคงเหลือแต่อิมามฮูเซนเพียงผู้เดียว ท่านได้กล่าวอำลาครอบครัว และกำชับให้พวกเขาอดทนและหนักแน่นในหนทางของอัลลอฮ์ หลังจากนั้นท่านได้ขี่ม้ามุ่งหน้าออกไปต่อสู้กับทหารจำนวนหลายหมื่นคน โดยลำพังเพียงผู้เดียว จนกระทั่งในที่สุดท่านได้รับชะฮีดในสภาพที่นอนอยู่บนกองเลือดบนพื้นทราย อย่างโดดเดี่ยว โดยศรีษะถูกตัดออก เพื่อนำไปมอบให้ยะซีด “อิบนุ สะอัด” ไม่หยุดยั้งเพียงการสังหารอิมามฮูเซนเท่านั้น หากแต่เขายังได้สั่งให้ทหารบางคน เหยียบย่ำร่างกายของท่านอิมามฮุเซน(อ) โดยพวกเขาควบม้าจำนวนสิบตัวเข้าบดขยี้ร่างของอิมามฮูเซนจนแหลกเหลวไม่มีชิ้น ดี

หลังจากนั้น “อิบนุ สะอัด” ได้สั่งให้จุดไฟเผาค่ายที่พักของอิมามฮูเซนหลังจากได้บุกเข้าไปจับตัวเด็กๆ และสตรีเป็นเชลย แล้วนำไปยังเมืองกูฟะฮ์ ในจำนวนคนเหล่านั้นมีท่านหญิงซัยนับบุตรของอิมามอะลี (อ.)(น้องสาวอิมามฮุเซน) และอิมามซัยนุลอาบิดีน บุตรชายของอิมามฮูเซน (อ.)

ท่านหญิงซัยนับได้เดินไปค้นหาศพของอิมามฮูเซนผู้เป็นพี่ชายอย่างกล้าหาญ ท่านได้วางมือลงใต้ร่างอันบริสุทธิ์แล้วแหงนหน้าขึ้นสู้ท้องฟ้า แล้วกล่าวด้วยความนบนอบว่า “โอ้ พระเจ้า โปรดรับการอุทิศพลีเพื่อแสวงหาความใกล้ชิดอันนี้จากเราด้วยเถิด”

 

ทำไมต้องรำลึกถึงอิมามฮูเซน(อ.) ?

อิมามฮูเซน มอบทุกสิ่งที่ท่านมีอยู่ในครอบครองเพื่อเกียรติยศของอิสลามและมุสลิม ท่านได้มอบบรรดาเด็กๆ สตรีและสหายของท่านเพื่อหนทางของพระเจ้า หลังจากนั้นก็มอบตัวเองไปในหนทางของอัลลอฮ์ อิมามฮูเซนได้สอนคนทั้งหลายให้เรียนรู้เรื่องการต่อสู้ ต่อต้านความอยุติธรรมและความเสียหายรวมถึงการกดขี่ทุกรูปแบบ ท่านได้ใช้เวลาในช่วงสุดท้ายในชีวิตของท่านอ่านอัล กุรอาน และทำนมาซเพื่ออัลลอฮ์ แม้กระทั่งในเวลาที่อยู่กลางสมรภูมิ ท่านได้ขอเวลาพักรบจากศัตรูเพื่อนมาซ อิมามฮูเซนได้ทำนมาซกับสหายของท่าน ในขณะที่ดอกธนูพุ่งเข้าใส่พวกพ้องของฮุเซนประดุจห่าฝน

การต่อสู้ของอิมามฮูเซน มีขึ้นเพื่ออิสลามและอยู่ในหนทางของอัลลอฮ์ ด้วยเหตุนี้มุสลิมจึงรำลึกถึงอิมามฮูเซนอยู่เสมอ พวกเขารำลึกถึงด้วยความเศร้าโศกกับวันอาชูรอของเหยื่อสังหารเหล่านั้น เพราะบนีอุมัยยะฮ์ได้ก่อการอาชญากรรมและเข่นฆ่าลูกหลานของท่านศาสดาและบุคคล ผู้มีความเป็นเลิศในหมู่มุสลิม อิมามฮูเซนมีชีวิตอยู่ 57 ปี ได้ถูกสังหารในปีฮ.ศ.ที่61 ท่านได้ใช้ช่วงเวลาเหล่านั้น ไปในการกระทำความดีและรับใช้มวลมนุษย์ การรำลึกถึงท่านอิมามฮุเซน คือการรำลึกถึงบุคคลแห่งพระเจ้า ดังที่อัลกุรอานได้กล่าวถึงการรำลึกถึงเหตุการณ์และเรื่องราวที่เป็น อุทาหรณ์ คติสอนใจ เพื่อจะได้ข้อคิดและทางนำ ดังนี้

อัล-กุรอาน: “จงเล่าเรื่องราวเหล่านั้นเถิด เพื่อหวังว่าพวกเขาจะใช้ปัญญาไตร่ตรอง” (บทอัลอะร็อฟ โองการที่ 176)

“โดยแน่นอนยิ่ง ในเรื่องราวของพวกเขานั้น เป็นบทเรียนสำหรับผู้มีสติปัญญา มิได้เป็นเรื่องราวที่ถูกปั้นแต่งขึ้น แต่ว่าเป็นการยืนยันความจริงที่อยู่หน้าพวกเขา และเป็นการแจกแจงทุกสิ่งทุกอย่าง และเป็นการชี้ทางที่ถูกต้อง และเป็นความเมตตาแก่หมู่ชนผู้ศรัทธา” (บทยูซุฟ โองการที่ 111)

วันอาชูรอกับสังคมมุสลิม

วันที่ 10 เดือนมุฮัรรอมถูกเรียกว่า”วันอาชูรอ” โดยปกติแล้ววันนี้มิได้มีพิธีการ รำลึกถึงผู้ใดมาก่อน ต่อมาเมื่ออิมามฮูเซน (อ.) ได้พลีชีพและเสียชีวิตในวันอาชูรออ์ ในฮิจเราะฮ์ ศักราชที่ 61 มุสลิมจึงถือเป็นวันจัดพิธีที่ยิ่งใหญ่วันหนึ่งในทุกหนแห่งพวกเขาจะจัด ประชุม เพื่อแสดงความเสียใจและร้องไห้แด่บรรดาผู้พลีชีพในเหตุการณ์ ณ แผ่นกัรบะลาอ์

กัรบะลาอ์คือดินแดนทะเลทราย ที่ไม่เคยมีผู้ใดพำนักอาศัยอยู่นั่นเลย แต่แล้วเมื่อวันเวลาผ่านพ้นไป มันก็ได้กลายเป็นเมืองขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นศูนย์กลางในด้านต่างๆ ทั้งวิชาความรู้และศาสนา ตั้งอยู่ในดินแดนประเทศอิรัก

ประเทศอียิปต์ ในช่วงการปกครองของ“ราชวงศ์ฟาฏิมียะฮ์” ได้ประกาศให้วันอาชูรอเป็นวันโศกเศร้าวันหนึ่งในรอบปีและเป็นวันหยุด ราชการ และบรรดาร้านค้าในตลาดต่างปิดเพื่อให้ประชาชนได้ไปชุมนุมร่วมกันที่สุสานของ ท่านหญิงซัยนับ เพื่อจะได้มีการร้องไห้และรำลึกถึงโศกนาฏกรรมแห่งกัรบะลาอ์ และในประเทศอิหร่าน รัชสมัยการปกครองของอัด ดัยละมีย์ ได้มีคำสั่งประกาศให้อาชูรอเป็นวันหยุดราชการทั่วประเทศ จวบจนถึงปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้ บรรดามุสลิมต่างได้ร่วมกันทำพิธีในวันอาชูรออ์ ทั้งในประเทศอียิปต์ อิหร่าน อิรัก อินเดีย และประเทศอื่นๆที่นับถือศาสนาอิสลาม การรำลึกถึงวันอาชูรออ์ยังคงเป็นเรื่องที่ดำเนินอยู่ต่อไปปีแล้วปีเล่า ในประเทศอิหร่าน ประชาชนได้ทำความเข้าใจกับการพลีอุทิศของอิมามฮูเซน (อ.) จนมีการปฏิวัติครั้งใหญ่ล้มล้างระบอบการปกครองของกษัตริย์ชาห์ และได้สถาปนาระบอบการปกครองแบบอิสลามขึ้นมา โดยท่านอายาตุลลอฮ์ โคมัยนี ผู้นำแห่งการปฎิวัติ

อาชูรอ พิธีไว้อาลัยอิมามฮุเซน(อ)ในประเทศไทย

ชาวชีอะฮ์ไว้อาลัยอิมามฮุเซน(อ)และรำลึกโศกนาฏกรรมดังกล่าว ทุก ๆ วันที่ 10 มุฮัรรอม ที่เรียกว่า วันอาชูรอ และการไว้อาลัยสิบวันแรกของเดือนมุฮัรรอมของแขกเจ้าเซ็นในประเทศไทยเป็นที่ รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา

ashura-in-thailand

 

เหตุการณ์ของการสังหารหมู่ที่เกิดกับอิมามฮุเซน(อ)และลูกหลาน ณ แผ่นดินกัรบาลาห์ ซึ่งถือว่าเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่แห่งหน้าประวัติศาสตร์อิสลาม จึงเป็นที่มาของพฤติกรรมดังที่เรียกว่า “พิธีมะห่าหร่ำ” ซึ่งเป็นพิธีที่ชีอะฮ์ชนจัดขึ้นทุกๆปีของเดือนมุฮัรรอม อันเป็นเดือนแรกของปฏิทินอิสลาม โดยจัดพิธีกรรมต่อเนื่องเป็นเวลา 10 วัน นับตั้งแต่วันแรกของเดือน ส่วนหนึ่งของพิธีมะห่าหร่ำประกอบไปด้วยการเล่าประวัติศาสตร์อิสลามของศาสดา มุฮัมมัดและบรรดาลูกหลานของศาสดาในมิติของการต่อสู้กับความอยุติธรรมประกอบ การขับรำพันและอ่านบทลำนำถึงการสูญเสียชีวิตของอิม่ามฮูเซนและบริวาร เพื่อแสดงออกถึงการไว้อาลัย

สมัยกรุงศรีอยุธยามีชาวเปอร์เซีย ( Persian ) หรือแขกเปอร์เซียเป็นส่วนใหญ่ได้ทำพิธีอาชูรออ์ เพราะแขกกลุ่มนี้เป็นผู้นำแบบแผนนิกายชีอะฮ์ (Shi’ite) รวมทั้งพิธีกรรมของตนเข้าสู่สังคมไทยในช่วงเวลานั้น สังคมไทยในสมัยนั้นรับรู้อัตลักษณ์ของมุสลิมนิกายชีอะฮ์เป็นอย่างดี เพราะว่าในสมัยท่านเฉกอะหมัด กูมี ได้รับโปรดเกล้าเป็นพระยาจุฬาราชมนตรีคนแรกของมุสลิมชาวไทย ท่านเฉกอะหมัด กูมีได้นำพิธีมะห่าร่อม หรือ การรำลึกถึงอิมามฮุเซนในวันอาชูรอมาถือปฎิบัติทุกปี และเป็นอัตลักษณ์ของมุสลิมชีอะฮ์มาแต่ในอดีตสมัย โดยไม่มีความขัดแย้งหรือวิพาททางหลักคิดคำสอนใดๆเพราะสังคมไทยตั้งแต่อดีต เป็นสังคมพหุวัฒนธรรม ดำรงอยู่กับความหลากหลายทั้งด้าน ศาสนา ภาษา วัฒนธรรมความเชื่อ จึงทำให้มุสลิมนิกายชีอะฮ์และพิธีมะห่าหร่ำเป็นที่รู้จักคุ้นเคยกันคน พื้นที่และท้องถิ่นในประเทศไทยมาช้านาน

พิธีกรรมที่ผู้คนในสังคมอยุธยาเรียกว่า พิธีมะห่าหร่ำถูกบันทึกโดยชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาและพบเห็นพิธีกรรมของ คนกลุ่มนี้ได้บันทึกตามความเข้าใจของตนเป็นสำคัญส่วนใหญ่มักกล่าวโดยรวมตาม ทัศนของตน เช่นกล่าวว่าเป็นพิธีของพวกมะหะหมัดเป็นการเล่าเรื่องเหตุการณ์ให้เห็นถึง ภาพลักษณ์ของพิธีกรรมในลักษณะของรูปแบบการจัดงานไว้อาลัยแก่อิมามฮุเซน(อ)

ashra-in-thailand

 

เฉกอะหมัด กูมีในฐานะผู้นำกลุ่มชนมุสลิมนิกายชีอะฮ์ได้นำพิธีกรรมมะห่าหร่ำหรือพิธี รำลึกไว้อาลัยในวันอาชูรอ ท่านได้เดินทางเข้ายังกรุงศรีอยุธยาในสถานะพ่อค้าวานิช เฉกอะหมัดผู้นี้ได้ทำการค้าอยู่ในสังคมอยุธยาจนรุ่งเรืองตลอดจนมีโอกาสช่วย ปรึกษาราชการงานบ้านเมืองที่เกี่ยวกับการค้าขายและการเดินเรือกับราชสำนัก สยามตลอดจนให้คำปรึกษาด้านการอยู่ร่วมกันอย่างสันติในสังคมแบบพหุวัฒนธรรม ส่งผลให้ประชาชนชาวสยามมีวัฒนธรรมที่ดีต่อกันและเรียนรู้การอยู่ร่วมกันใน ท่ามกลางความหลากหลายทางวัฒนธรรมและประเพณีและยังส่งผลให้การค้าของราชสำนัก อยุธยาเจริญขึ้นตามลำดับ

ต่อมาเฉกอะหมัดได้โอกาสเลื่อนฐานะภาพขึ้นเป็นขุนนางในแผ่นดินของพระเจ้า ทรงธรรม (พ.ศ. 2153-2177 ) พระองค์โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งแขกผู้นี้เป็นออกญาเฉกอะหมัดรัตนราชเศรษฐีเจ้ากรมท่าขวาและตำแหน่ง จุฬาราชมนตรี ในแผ่นดินของพระเจ้าปราสาททอง (พ.ศ. 2172-2199 ) และทรงโปรดเกล้า ฯให้เลื่อนขึ้นเป็นออกญาบวรราชนายกจางวางกรมมหาดไทย(อ้งอิงจาก พิธีเจ้าเซน(อาชูรอ) : อัตลักษณ์และการธำรงชาติพันธุ์ของมุสลิมนิกายชีอะห์ในสังคมไทย โดย นายธีรนันท์ ช่วงพิชิต ปี 2551)

อาชูรออ์คือสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้ กับความอยุติธรรมเหตุการณ์แห่งวันอาชูรออ์และประวัติศาสตร์แห่งการต่อสู้ ณ แผ่นดินกัรบาลาห์มีสองมุมที่ควรแก่การศึกษาและทำความเข้าใจ มุมหนึ่งเป็นมุมสีขาว เป็นมุมของความสวยงามเป็นมิติแห่งแสงสว่างส่องทางนำ เป็นการฉายภาพของการเสียสละและการปกป้องเกียรติยศและศักดิ์ศรีและการแสดงออก ถึงความจงรักภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้า ส่วนอีกมุมหนึ่งเป็นมุมสีดำ เป็นความมืดทางจิตวิญญาณของอีกฝ่ายหนึ่ง นั่นคือเป็นมุมมืดและมุมสีดำ เป็นการสำแดงออกถึงการเข่นฆ่าและการสังหารหมู่อย่างโหดเหี้ยมที่มิอาจจะ เปรียบกับเหตุการณ์ใดๆได้ ดังนั้นจงแสวงหาความขาว ในท่ามกลางความดำนั้น แล้วจะประจักษ์ถึงความงามแห่งการพลี และความงดงามของเสียสละ

ประวัติศาสตร์ที่เป็นมุมมืดและมุมสีดำ คือการเข่นฆ่าและการสังหารหมู่ลูกหลานศาสดา(ศ)อย่างโหดเหี้ยมที่มิอาจจะ เปรียบกับเหตุการณ์ใดๆได้ และถ้าจะวิเคราะห์ผ่านประวัติศาสตร์ในช่วงเวลานั้น จะพบว่าชั่วร้ายของฝ่ายตรงกันข้ามได้กระทำอย่างโหดเหี้ยม เกือบจะไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้กับความเลวร้ายนั้นว่าจะเกิดขึ้นจริงในโลกใบ นี้ เพราะเป็นมิติของการสังหารหมู่และการเข่นฆ่าอย่างโหดเหี้ยมผิดมนุษย์ในเหตุ การณ์กัรบาลาห์ สะท้อนให้เห็นถึงโศกนาฎกรรมครั้งใหญ่และเป็นความโศกเศร้าและปวดร้าวที่สุด เมื่อเรามองจากมิติดังกล่าว จะพบว่าในเหตุการณ์กัรบาลาห์ เป็นการฆ่าผู้บริสุทธิ์ เป็นการสังหารเด็กหนุ่ม เป็นการฆ่าเด็กเล็กๆ เป็นการกักขัง และการปิดล้อมธารน้ำเพื่อให้เด็กและสตรีหิวกระหายอย่างรุนแรง จะเห็นภาพของสตรีและเด็กไร้เดียงสาถูกเฆี่ยนตี ได้นำเชลยขึ้นหลังอูฐที่ปราศจากอาน และอื่นๆ

แต่ทว่าเหตุการณ์แห่งวันอาชูรอมีแค่หน้าเดียวกระนั้นหรือ? และมีเพียงความโศกเศร้าอย่างเดียวหรือ? ไม่มีมิติอื่นใดๆแล้วใช่หรือไม่? เปล่าเลย เพราะแท้จริงประวัติศาสตร์มีสองด้าน และนอกจากด้านดำยังมีอีกด้านหนึ่งเป็นด้านสีขาว เป็นความงดงาม ได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นวีรบุรุษของผู้ที่เสียสละและผู้สูญเสีย คือท่านอิมามฮุเซน(อ) และลูกหลานของท่านพร้อมกับเหล่าสาวกผู้กล้า

ประวัติศาสตร์ในมิตินี้ไม่ใช่ฉายภาพของการสูญเสียหรือของการนองเลือด แต่เป็นมิติของการเสียสละและการสร้างวีรกรรม เป็นความภาคภูมิและเกียรติยศ เป็นแสงส่องทางนำ เป็นการแสดงออกของความเป็นอารยะบุคคล และเป็นวิถีของคนกล้า เป็นการสำแดงยืนหยัดอยู่บนอุดมการณ์ของผู้นิยมในสัจจะธรรม และชี้ทางนำให้เห็นว่า ใครคือบุคคลต้นแบบ ดังคำดำรัสของศาสดา(ศ)ที่ว่า “แท้จริงฮุเซน คือดวงประทีปแห่งทางนำ และนาวาแห่งความปลอดภัย”

มหาตมะคานธีกับขบวนการต่อสู้อิมามฮุเซน

จากประวัติศาสตร์สองด้านของอาชูรอทั้งด้านที่เป็นโศกนาฏกรรมและด้านการสร้าง วีรกรรม ทำให้แรงผลักดันและพลังในการขับเคลื่อนทั้งส่วนที่เป็นปัจเจกและส่วนที่เป็น สังคม เป็นแรงบันดาลใจให้นักสู้ทั้งหลาย เป็นคติสอนแก่เหล่านักสันติวิธี เป็นแบบอย่างของการต่อสู้กับความอยุติธรรมและการฉ้อฉลทั้งหลาย ขบวนการยืนหยัดต่อสู้แห่งอาชูรออ์ คือเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่สุดหลังจากการถือกำเนิดของศาสนาอิสลาม ขบวนการยืนหยัดต่อสู้ครั้งนี้มีผลกระทบต่างๆ ที่สำคัญติดตามมา ซึ่งผลของมันในฐานะที่เป็นวีรกรรมอันยิ่งใหญ่และเป็นนิรันดร์นั้นจะยังคง ดำเนินไปจวบจนถึงวันอวสานของโลก

ขบวนการต่อสู้แห่งอาชูรอได้สอนบทเรียนแห่งความเชื่อมั่นต่อศาสนา การเสียสละ ความกล้าหาญ ความมั่นคงเด็ดเดี่ยว การญิฮาด (ต่อสู้) ในหนทางของพระผู้เป็นเจ้า การกำชับความดีและการห้ามปรามความชั่วจิตวิญญาณในการยืนหยัดเผชิญหน้าและการ ไม่ยอมก้มหัวให้กับบรรดาผู้ปกครองผู้กดขี่ ท่านอิมามฮุเซน(อ.)ได้ทำให้การตื่นตัวแผ่ขยายออกไปอย่างกว้างขวางในหมู่มวล มุสลิม ในความเป็นจริงแล้วท่านอิมามฮุเซน(อ.)คือผู้ปลุกประชาชนให้ตื่นตัวขึ้นจาก การหลับใหลและนี่คือสำนักคิดแห่งอาชูรอและมุฮัรร็อมแนวคิดที่ยังคงมีชีวิต อยู่ที่เป็นแรงบันดาลใจและมีอิทธิพลต่อการปฏิวัติอิสลามและขบวนการเคลื่อนไห วอื่นๆ ในโลก อย่างเช่น กระแสการตื่นตัวในโลกอิสลามที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ คลื่นลูกใหม่ของการตื่นตัวของอิสลามที่ได้เกิดขึ้นในกลุ่มประเทศอาหรับและ ได้สร้างความสั่นคลอนให้เกิดขึ้นกับรากฐานของระบอบการปกครองที่เป็นเผด็จการ และกดขี่และได้ทำให้ระบอบการปกครองเหล่านั้นต้องล่มสลายลงติดตามกันไปทีละ ประเทศ แม้ว่าในสภาวะเงื่อนไขต่างๆ ในปัจจุบันนี้จะเริ่มต้นขึ้นจากประเทศตูนิเซียและลุกลามไปสู่ประเทศอื่นๆ อย่างเช่น อียิปต์ ลิเบีย เยเมน บาห์เรนและในอีกหลายๆ ประเทศเช่น ซาอุดีอาระเบีย จอร์แดน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คูเวตและประเทศอื่นๆ ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการก่อตัว แต่ทว่าในความเป็นจริงแล้วขบวนการเคลื่อนไหวและการตื่นตัวของอิสลามเหล่านี้ ได้รับแรงบันดาลใจจากการปฏิวัติอิสลามในอิหร่าน ซึ่งเป็นการปฏิวัติที่ยึดถือแบบอย่างมาจากการยืนหยัดต่อสู้ของท่านอิมามฮุ เซน (อ.) และบรรดาผู้ช่วยเหลือของท่านนั่นเอง

การปฏิวัติและโมเดลการปกครองแบบอิสลามที่ท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.) ได้วางรากฐานไว้นั้น มีรากฐานที่มาจากวัฒนธรรมและคำสอนดังเดิมต่างๆ ของอิสลามที่มีปรากฏอยู่ในคัมภีร์อัลกุรอาน ซึ่งเป็นธรรมนูญแห่งการดำเนินชีวิตของชาวมุสลิม และยิ่งไปกว่านั้นคือเป็นของมวลมนุษยชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในขบวนการยืนหยัดต่อสู้แห่งอาชูรอ จำนวนที่เพิ่มมากขึ้นของขบวนการปฏิวัติและการยืนหยัดต่อสู้เพื่อเรียกร้อง เสรีภาพและการปลดปล่อยทั้งหลายที่เกิดขึ้นหลังจากปี ฮ.ศ.ที่ 61 นั้น ล้วนแล้วแต่ได้รับอิทธิพลมาจากการขบวนการต่อสู้ในแผ่นดินกัรบาลาทั้งสิ้น ตัวอย่างเช่น การปฏิวัติต่อต้านลัทธิล่าอาณานิคมในประเทศอินเดียภายใต้การนำของมหาตะมะคาน ธี ซึ่งตัวท่านมหาตะมะคานธีได้ยอมรับในข้อเท็จจริงนี้เองที่ว่า ท่านได้เรียนรู้จากบทเรียนแห่งการต่อสู้และหนทางสู่อิสรภาพจากท่านอิมามฮุ เซน (อ.) และขบวนการยืนหยัดต่อสู้ของท่าน ด้วยเหตุนี้เอง ขบวนการเคลื่อนไหวและการตื่นตัวของอิสลามที่เกิดขึ้นในประเทศอิหร่านในช่วง สามทศวรรษที่ผ่านมาและนำไปสู่การสถาปนารัฐอิสลาม ซึ่งในปัจจุบันกำลังก่อตัวขึ้นทั่วกลุ่มประเทศอาหรับและโลกอิสลาม และมีรากฐานที่มาจากวัฒนธรรมคำสอนของอิสลาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากขบวนการต่อสู้แห่งอาชูรอ และบรรดาผู้นำขบวนการเคลื่อนไหวเหล่านั้นได้ปฏิบัติตามแบบอย่างของท่านอิ มามฮุเซน (อ.) และเรียนรู้การยืนหยัดต่อสู้กับความอธรรมและการกดขี่จากวันอาชูรออ์และอิ มามฮุเซน (อ.) ผู้นำของบรรดาเสรีชนแห่งโลก

 

ท่านมหาตมะคานธี กล่าวถึงวีรกรรมของอิมามฮุเซนว่า..

“ข้าพเจ้าได้อ่านชีวประวัติของนักบุญฮุเซน (ผู้พลีชีพในหนทางของพระเจ้า) ผู้ยิ่งใหญ่อย่างละเอียด และข้าพเจ้าได้พิจารณาใคร่ครวญประวัติศาสตร์ของเหตุการณ์แห่งกัรบาลาห์อย่าง ถี่ถ้วน จนเป็นสิ่งที่กระจ่างชัดสำหรับข้าพเจ้าแล้วว่า หากประเทศอินเดียต้องการที่จะเป็นผู้ชนะแล้ว จำเป็นที่จะต้องปฏิบัติตามท่านนักบุญ(อิมาม)ฮุเซนผู้นี้เถิด”

เกือบหนึ่งปีแล้วที่ประชาชนมุสลิมชาวอาหรับได้ตื่นตัวขึ้นมาด้วยแรงบันดาลใจ จากขบวนการยืนหยัดต่อสู้แห่งอาชูรอ และพวกเขาได้ยืนหยัดต่อสู้และทัดทานความต้องการต่างๆ ที่ขัดแย้งกับบทบัญญัติศาสนาและการบริหารปกครองที่ไร้ความชอบธรรมของบรรดา ผู้ปกครองที่ชั่วร้ายด้วยความกล้าหาญอย่างแท้จริง ประชาชนมุสลิมผู้ปฏิวัติชาวตูนิเซีย อียิปต์และลิเบียได้รับชัยชนะเหนือระบอบการปกครองต่างๆ ที่ไม่ได้มาจากประชาชน ในการยืนหยัดต่อสู้ของบรรดามุสลิมในภูมิภาคตะวันออกกลางนั้น เราจะเห็นได้ว่าเมื่อบรรดาเยาวชนและประชาชนผู้เป็นเสรีชนชาวตูนิเซีย อียิปต์และลิเบีย ไม่อาจอดทนต่อการกดขี่ของรัฐบาลและทรราชแห่งยุคสมัยของตน พวกเขาได้ยืนหยัดขึ้นต่อสู้กับทรราชแห่งยุคสมัยเหล่านั้นด้วยมือเปล่า แต่ด้วยจิตวิญญาณแห่งอิสลาม และสามารถโค่นล้มทรราชเหล่านั้นลงได้ ทำให้การยืนหยัดต่อสู้ของพวกเขากลายเป็นแบบอย่างสำหรับการยืนหยัดต่อสู้ของ ประชาชนในประเทศอื่นๆ แม้แต่ในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ซึ่งบรรดาผู้ประท้วงคัดค้านในวอลสตรีทก็เช่นกัน พวกเขาถือว่าการยืนหยัดต่อสู้ของพวกเขานั้นได้รับแรงบันดาลใจมาจากจัตุรัส ”อัตตะห์รีร” (แห่งอียิปต์) และพวกเขาได้กู่ก้องร้องตะโกนและกล่าวซ้ำคำขวัญแบบเดียวกันและการเน้นย้ำของ บรรดาผู้ประท้วงในวอลสตรีทถึงประเด็นที่ว่า พวกเขาได้ยึดถือแบบอย่างมาจากจัตุรัสอัตตะห์รีรและใช้คำขวัญ (สโลแกน) ต่างๆ แบบเดียวกับที่ประชาชนในจัตุรัสอัตตะห์รีรได้เปล่งตะโกนนั้น เป็นเครื่องบ่งชี้ถึงการรับอิทธิพลและแบบอย่างจากขบวนการเคลื่อนไหวต่างๆ แห่งอิสลาม ซึ่งแหล่งที่มาของมันนั้นสามารถค้นหาได้ในขบวนการต่อสู้แห่งอาชูรออ์ของท่า นอิมามฮุเซน (อ.) มันคือการยืนหยัดต่อสู้ที่มิได้จำกัดอยู่เฉพาะสำหรับชาวชีอะฮ์หรือบรรดา มุสลิมเพียงเท่านั้น แต่มันคือแบบอย่างสำหรับบรรดาเสรีชนในโลกทั้งมวล

 

โดย:  ดร.ประเสริฐ สุขศาสน์กวิน
ศูนย์อิสลามศึกษา วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม

 

บรรณานุกรม

เชคชะรีฟ ฮาดียฺ แบบเรียนศาสนาอิสลามตามแนวทางชีอะฮ เล่ม ๕ พิมพ์ สถานศึกษา ดารุลอิลม์ มูลนิธิคูอีย์ .ปีที่พิมพ์ ๒๕๕๒

เชคชะรีฟ อัลฮาดีย์ 2548 การกำเนิดสำนักต่างๆ ในอิสลาม กรุงเทพฯ :ศูนย์วัฒนธรรมสถานเอกอัคร ราชทูต สาธารรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ประจำกรุงเทพฯ

นายธีรนันท์ ช่วงพิชิต ,2551 พิธีเจ้าเซน(อาชูรอ) : อัตลักษณ์และการธำรงชาติพันธุ์ของมุสลิมนิกายชีอะห์ในสังคมไทย

พีชวออี แปลโดย ไซม่า ซาร์ยิด ภาพลักษณ์ทางการเมืองของอิมาม ๑๒ พิมพ์ สถาบันศึกษาอัลกุรอานรอซูลอัลอะอ์ซอม.ปีที่พิมพ์ ๒๕๕๑

อยาตุลลอฮ์ ญะอ์ฟัร ซุบฮานี แปลโดย อบูอาดิล ชะรีฟ อัลฮาดีย์ 2548 ชีอะฮ์ในประวัติศาสตร์อิสลาม กรุงเทพฯ : The Ahl al bayt a.s World Assembly

อัลลามะฮ ฎอบะฎอบาอีย์ แปลโดย เชคชะรีฟ เกตุสมบูรณ์ 2548 ชีอะฮ์ในอิสลาม กรุงเทพฯ :สถาบันส่งเสริมการศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับอิสลาม

Ayatullah Misbah Yazdi. Jami ah wa Tareek. Qom Iran : Sazman Tabliqat 1372

Ayatullah Javadi Amoli Falsafah Hukok Bashar. Qom Iran : Isra Puplication Center