กลุ่มสิทธิมนุษยชนกล่าวว่า ชาวมุสลิมโรฮิงญานับพันคนได้ถูกบังคับให้ออกจากพม่าในช่วงสามสัปดาห์ที่ผ่าน มา อันเนื่องมาจากแผนซึ่งก่อให้เกิดการขัดแย้งใหม่ของรัฐบาล
ตามแผนปฎิบัติการยะไข่ที่ผ่านโดยรัฐบาลเมื่อเร็วๆนี้ ชาวมุสลิมโรฮิงญากว่าหนึ่งล้านคนจะต้องเผชิญกับการถูกขับไล่ จนกว่าพวกเขาสามารถพิสูจน์ได้ว่าครอบครัวของพวกเขาได้อาศัยอยู่ในประเทศ เอเชียมานานกว่า 60 ปี
ในช่วงสามสัปดาห์ที่ผ่านมา ชาวโรฮิงญา 14,500 คน ได้แล่นเรือออกจากชายหาดของรัฐยะไข่ไปยังประเทศไทยและมีเป้าหมายสุดท้ายไป ยังประเทศมาเลเซีย เจ้าหน้าที่โครงการวิจัยตรวจสอบผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงยากล่าว
อย่างไรก็ตามผู้ที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าการอยู่อาศัย ของพวกเขามีความเหมาะสมกับการเป็นพลเมืองในสัญชาติ มีสิทธิที่จะถือสิทธิแต่น้อยกว่าการเป็นพลเมืองต็มรูปแบบและสามารถเพิกถอน ได้
ชาวโรฮิงญาต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนในการถูกคุมขัง ภายใต้แผนการที่พวกเขาต้องการโอนชาติพันธ์และจัดประเภทให้เป็นชาวเบ็งกอล หรือให้ถูกกักขังไว้
กลุ่มสิทธิมนุษยชนได้มีการกระตุ้นให้ประชาคมระหว่างประเทศทำการเรียกร้องให้รัฐบาลพม่ายกเลิกพระราชกฤษฎีกา
กลุ่มสิทธิมนุษยชนได้เรียกแผนการดังกล่าวว่า “ไม่ต่างอะไรกับการแยกออกอย่างถาวรและไร้สัญชาติ”
เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นรายงานว่าการชุมนุมของชุมชนและผู้นำทางศาสนาและการทรมานทำให้พวกเขาไปสู่ความตาย
ชาวมุสลิมพม่า 1.3 ล้านคน ที่ถูกปฏิเสธความเป็นพลเมือง คือหนึ่งในชุมชนที่ถูกข่มเหงมากที่สุดในโลก ซึ่งสหประชาชาติได้ให้การรับรองความจริงในเรื่องนี้
มุสลิมชาวโรฮิงญาในพม่าต้องเผชิญกับการถูกปราบปราม การถูกทรมาน และถูกทอดทิ้ง ตั้งแต่ประเทศได้รับเอกราชในปี 1948
รัฐบาลพม่าถูกวิพากษ์วิจารณ์ซ้ำแล้วซ้ำอีกโดยกลุ่มสิทธิมนุษยชนสำหรับความล้มเหลวในการปกป้องชาวมุสลิมโรฮิงญา
เมื่อสองปีที่ผ่านมา ชาวโรฮิงญาหลายร้อยคนถูกฆ่าตายและอีกกว่า 140,000 พลัดถิ่น จากการถูกโจมตีโดยพวกหัวรุนแรงชาวพุทธ