“ดีลแห่งศตวรรษ”(Deal of the Century) หากอธิบายด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายคือ การขายปาเลสไตน์ให้กับอิสราเอลเพื่อแลกเปลี่ยนกับการยอมรับอิสราเอลตลอดประวัติศาสตร์ของปาเลสไตน์และการสร้างความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการระหว่างรัฐอาหรับและระบอบอิสราเอลโดยไม่มีรัฐปาเลสไตน์ในปาเลสไตน์…..
ด้วยการเปิดเผยกรอบทางการเมืองของ โดนัลด์ ทรัมป์ เกี่ยวกับแผนการบริหารของเขาสำหรับปาเลสไตน์ที่รู้จักกันในชื่อ “ดีลแห่งศตวรรษ” ซึ่งแผนของอเมริกันครั้งนี้กลายเป็นกระแสข่าวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก เมื่อมองไปที่สื่อต่าง ๆ คุณจะพบเนื้อหามากมายเกี่ยวกับโครงการนี้ แต่สิ่งที่ต้องพูดจริงๆคือ แผนนี้ต้องการบอกอะไรและมีรายละเอียดอะไรบ้าง ?
นิยาม
ข้อตกลงแห่งศตวรรษ(ดีลแห่งศตวรรษ) คือแผนการของ Donald Trump เพื่อแก้ไขปัญหาปาเลสไตน์ภายใต้หัวข้อดังกล่าว แผนดังกล่าวมีพื้นฐานที่แตกต่างจากแผนของรัฐบาลสหรัฐฯในอดีต – ซึ่งรู้จักกันในนาม “กระบวนการสันติภาพในตะวันออกกลาง” ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดคือทรัมป์วางรากฐานดังกล่าวบนพื้นฐานเศรษฐกิจ ในขณะที่แผนการของรัฐบาลสหรัฐในอดีตสำหรับปาเลสไตน์นั้นเป็นแผนการทางการเมืองทั้งหมด
ส่วนต่างๆของดีลแห่งศตวรรษ
ดีลแห่งศตวรรษประกอบด้วยสองส่วนสำคัญที่ถูกนำเสนอภายใต้ “กรอบเศรษฐกิจ” และ “กรอบการเมือง”
ภาคเศรษฐกิจ
กรอบเศรษฐกิจของดีลแห่งศตวรรษถูกเสนอในเดือนมิถุนายน 2019 ระหว่างการประชุม “เชิงปฏิบัติการทางเศรษฐกิจมานามา” ในบาห์เรน ตามแผนที่ออกโดยทำเนียบขาวเมื่อสองวันก่อนการประชุมกรอบเศรษฐกิจของดีลแห่งศตวรรษประกอบด้วยสามส่วน:
-ปลดปล่อยศักยภาพทางเศรษฐกิจด้วยการสร้างโครงสร้างพื้นฐานการเติบโตและการลงทุนเชิงพาณิชย์
-เพิ่มขีดความสามารถของประเทศปาเลสไตน์ผ่านการเสริมสร้างการบริการทางการศึกษา
-เสริมสร้างอำนาจอธิปไตยของปาเลสไตน์โดยการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีขึ้น
ในส่วนเศรษฐกิจของดีลแห่งศตวรรษ ทรัมป์ได้แบ่งสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามแผนระหว่างประเทศที่เคยเป็นพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกาแล้ว ซึ่งประมาณว่ามีค่าใช้จ่าย 50 พันล้านเหรียญสหรัฐในการทำข้อตกลงในศตวรรษนี้ และสหรัฐอเมริกาได้ประกาศว่าจะสร้างกองทุน $ 50 พันล้านที่จะใช้ในการลงทุนและสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ในจำนวนนั้น 28 ล้านดอลลาร์จะถูกจัดสรรให้กับชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาและฝั่งตะวันตก 9 พันล้านเหรียญสหรัฐให้กับอียิปต์ 7.5 พันล้านดอลลาร์ให้กับจอร์แดน และ 6 พันล้านดอลลาร์ให้กับเลบานอน
ภาคการเมือง
ส่วนทางการเมืองของดีลแห่งศตวรรษถูกเปิดเผยเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2020 โดยโดนัลด์ทรัมป์ ส่วนนี้ประกอบด้วย 22 บท ซึ่งประเด็นทั้งหมดถูกกล่าวถึงในเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับปาเลสไตน์ทั้งหมด
- บทนำ
- วิธีการ-กลยุทธ์
- โอกาสแห่งสันติภาพระหว่างรัฐบาลอิสราเอลและปาเลสไตน์ และภูมิภาค
- พรมแดน
- เยรูซาเล็ม
- แผนเศรษฐกิจของทรัมป์
- ความปลอดภัยและความมั่นคง
- ด่านต่างๆ
- ฉนวนกาซา
- เขตการค้าเสรี
- ข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐอเมริกา
- พอร์ต-ท่าเรือ
- แหล่งท่องเที่ยวทะเลเดดซี
- ปัญหาของการบำบัดน้ำและน้ำเสีย
- นักโทษ
- ผู้อพยพลี้ภัย
- โครงสร้างพื้นฐานของรัฐปาเลสไตน์
- การศึกษาและวัฒนธรรมแห่งสันติภาพ
- ความสัมพันธ์อาหรับ – อิสราเอล – หุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค
- การรับรู้ร่วมกันของทั้งสองรัฐ
- การสิ้นสุดข้อพิพาทและสิ้นสุดความขัดแย้ง
- การบริหารจัดการในระหว่างการเจรจา
ผลลัพธ์และผลที่ตามมา
จากการดำเนินการของสองส่วนนี้เราจะเห็นผลที่ตามมาดังนี้ :
-รัฐยิวในปาเลสไตน์ประวัติศาสตร์จะถูกสถาปนาขึ้นมา และรัฐปาเลสไตน์ที่ไม่ทราบว่าจะอยู่ตรงไหน จะต้องยอมรับว่าอิสราเอลเป็นประเทศของยิว
– อัลลกุดส์/เยรูซาเล็ม เป็นเมืองหลวงของอิสราเอลแต่เพียงผู้เดียว และชาวปาเลสไตน์จะมีชานเมืองเขต “อบูดิส” เป็นเมืองหลวงของปาเลสไตน์ในอนาคต
-รัฐบาลปาเลสไตน์จะไม่มีวันเกิดขึ้น แต่เป็นการเตรียมการสำหรับการจัดตั้งรัฐบาลที่ปลอดกองทัพในส่วนของเวสต์แบงก์ที่มีเนื้อที่น้อยกว่าร้อยละ 40 ซึ่งจะมีการหารือในการเจรจาระยะยาว
-ผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์จะไม่มีสิทธิ์กลับไปที่ปาเลสไตน์อีกต่อไป
-กลุ่มขบวนการต่อสู้จะถูกระบุว่าเป็นการก่อการร้ายและจะมีการแนะนำในตำราการศึกษาแก่เยาวชนปาเลสไตน์ว่าเป็นการก่อการร้าย
-หยุดการยุยงให้เกิดความเกลียดชังต่ออิสราเอลในหลักสูตรการเรียนการสอนของปาเลสไตน์
-ปลดอาวุธชาวปาเลสไตน์และกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซ่าและประกาศเป็นเขตปลอดอาวุธ และภูมิภาคนี้ในสถานการณ์ปัจจุบันต้องถูกโดดเดี่ยวและไม่มีการเชื่อมต่อกับโลกภายนอก
– อเมริกามีสิทธิ์จะประกาศสิทธิต่างๆของปาเลสไตน์ในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกของสหประชาชาติเป็นสิ่งผิดกฎหมาย
-ยึดดินแดนของชาวปาเลสไตน์ที่ถูกยึดครองไปในปี 1948 และ ให้ปาเลสไตน์ได้กรรมสิทธิ์แทนในทะเลทรายนักบ์
-รัฐอาหรับในภูมิภาคนี้นอกจากยอมรับรัฐยิวอย่างเป็นทางการแล้ว จะต้องสร้างความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับระบอบการปกครองยิวไซออนิสต์ด้วย
-ชาวปาเลสไตน์ที่อาศัยอยู่ในดินแดนประวัติศาสตร์ของปาเลสไตน์จะได้รับโอกาสทางเศรษฐกิจมากกว่าสิทธิทางการเมือง
-การตั้งถิ่นฐานทางอุตสาหกรรมจะถูกสร้างขึ้นรอบ ๆ ฉนวนกาซาในทะเลทรายซีนายเพื่อรองรับแรงงานของชาวกาซ่า
-ประเทศเพื่อนบ้านปาเลสไตน์จะได้รับค่าตอบแทนเพื่อคุ้มครองผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ให้คงอยู่ในประเทศของตนเองต่อไป