วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน เป็นวันครบรอบ หนึ่งปี ที่เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมานขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นมกุฎราชกุมารแห่งซาอุฯ ซึ่งตลอดทั้งปีที่ผ่านมามีเรื่องราวและประเด็นต่างๆอย่างมากกมายที่เป็นกระแสอื้อฉาว
หนังสือพิมพ์ Al-Quds Al-Arabi ฉบับตีพิมพ์ในกรุงลอนดอน รายงาน : มกุฎราชกุมาร Mohammed bin Salman เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2560 ได้เข้ารับตำแหน่งมกุฎราชกุมารแห่งซาอุดิอาระเบีย เมื่อครั้งที่กษัตริย์ซาอุดีอาระเบีย ซัลมานบินอับดุลอาซิซ ได้ปลดเจ้าชาย โมฮัมเหม็ด บิน นาเยฟ พ้นจากตำแหน่งและแต่งตั้งบุตรชายของเขาขึ้นมาเป็นมกุฎราชกุมารองค์ใหม่
เจ้าชายมงกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบียคนใหม่ ขณะนี้มีอายุ 32 ปี เป็นที่กล่าวขานว่า เขาเป็นบุคคลหนึ่งที่มีอิทธิพลมากที่สุดในประเทศ หลังจากที่บิดาของเขาขึ้นเป็นกษัตริย์
เขายังคงดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และดำเนินการต่างๆเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงให้กับสถานภาพของเขาในประเทศ เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน ปีที่แล้ว บินซัลมานได้ตัดความสัมพันธ์ระหว่างประเทศซาอุดิอาระเบีย, ยูเออี, บาห์เรนและอียิปต์โดยฉับพลัน กับกาตาร์ ประเทศเหล่านี้กล่าวหาว่าโดฮาให้การสนับสนุนกลุ่มก่อการร้าย ใกล้ชิดกับอิหร่าน และทำลายเสถียรภาพในภูมิภาค ซึ่งข้อกล่าวหาดังกล่าวทางการโดฮาก็ได้ออกมาปฏิเสธอย่างรุนแรง
หลังจากที่บินซัลมาน ขึ้นเป็นมงกุฎราชกุมาร ความขัดแย้งระหว่างประเทศซาอุดิอาระเบียและอิหร่านก็ทวีความรุนแรงมากขึ้น ในเรื่องนี้นโยบายของบินซัลมาน อาจถูกมองว่าเป็นประเด็นที่ชวนคิดว่า “ซาอุดิอาระเบียจะก้าวเดินไปทางไหน ?
การให้ใบอนุญาตขับรถกับผู้หญิงและการจับกุมผู้ยื่นใบสมัคร!
เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2017 ซาอุดิอาระเบียอนุญาตให้ผู้หญิงขับรถได้ นับจากวันที่ 24 มิถุนายน 2017 มีบัญญัติใหม่ในราชอาณาจักรที่น่าสนใจมาก เมื่อลายนิ้วมือของเจ้าชายหนุ่ม ได้ลงความเห็นชอบชัดเจนในการตัดสินใจครั้งนี้ ตามแผนการปฏิรูปทางสังคมและเศรษฐกิจ จากวิสัยทัศน์ปี 2030 ของเขา แต่ผู้สังเกตการณ์ชี้ว่า การปฏิรูปก็ไม่ได้หยุดยั้งการปราบปรามนักกิจกรรมด้านสิทธิมนุษยชนแต่อย่างใด เพราะเมื่อเร็ว ๆ นี้นักเคลื่อนไหวหญิงจำนวนมาก ผู้ที่ต่อสู้เพื่อผู้หญิงเป็นเวลาหลายปีกลับถูกจับกุมตัว
แคมเปญผู้ถูกคุมขัง … ญาติชั้นในที่ถูกจับกุมลำดับแรก
ในเดือนกันยายนปี 2017 ได้มีการจับกุมตัวบุคคลประมาณ 20 คน ที่มีอิทธิพลทางศาสนาและวัฒนธรรม เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน มกุฎราชกุมารได้เปิดตัวแคมเปญต่อต้านการทุจริต และโรงแรม Ritz-Carlton Hotel ในริยาดได้กลายเป็น “เรือนจำทอง” สำหรับเจ้าชายหลายสิบคน และเจ้าหน้าที่รัฐและนักธุรกิจของซาอุดีอาระเบียเป็นเวลาสามเดือน ผู้ต้องสงสัยเหล่านี้บางราย รวมทั้งเจ้าชาย Waleed ibn Talal มหาเศรษฐีชาวซาอุดิอาระเบียได้รับการปล่อยตัวหลังจากยินยอมเสียค่าปรับ
จับกุมตัว ฮารีรี และสร้างวิกฤติกับเลบานอน
เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2017 นายกรัฐมนตรีเลบานอน ซาอาด ฮาริริ ประกาศตัวอย่างไม่คาดคิดในกรุงริยาดว่า ได้ลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรีเลบานอน ผ่านช่องสถานี al-Arabiya ของประเทศซาอุดีอาระเบีย
ในบริบทของการลาออกของเขา เขากล่าวหาว่า เลบานอนและอิหร่านเข้าไปแทรกแซงกิจการในเลบานอน หลังจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ทางมิเชล อูน ประธานาธิบดีเลบานอนออกมาแสดงปฏิกิริยาอย่างรุนแรง ฝรั่งเศสจึงเข้ามาแทรกแซงในทันที และเชิญฮารีรีไปฝรั่งเศส ภายหลังจาก 3 สัปดาห์ที่เขาติดอยู่ในซาอุดิอาระเบีย และจากนั้น เขาก็ได้กลับไปยังเลบานอน
ซาอุดิอาระเบียออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหา ที่บังคับให้ฮาริริลาออกและกักตัวเขาไว้ในซาอุดีอาระเบีย
สงครามในเยเมน
เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2017 มกุฎราชกุมารซาอุดีอาระเบียอ้างว่า อิหร่านติดอาวุธให้กับกลุ่มอันศ็อรุลลอฮ์เยเมน และถือว่าเป็นปฏิปักษ์อย่างชัดเจนจากระบอบการปกครองอิหร่าน
ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ของซาอุดีอาระเบีย อ้างว่า พวกเขาได้สกัดทำลายขีปนาวุธจากกลุ่มอันศ็อรุลลอฮ์ เหนือกรุงริยาดและเศษขีปนาวุธที่แตกเป็นชิ้นส่วนได้พุ่งชนรอบๆสนามบินนานาชาติริยาด
ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2015 เป็นต้นมา กลุ่มพันธมิตรอาหรับซาอุดาระเบีย ได้เปิดตัวพันธมิตรโดยได้รับความช่วยเหลือจากกองกำลังรับจ้างที่สังกัดรัฐบาลพลัดถิ่นเยเมน ซึ่งมีนาย Mansour Hadi เป็นผู้นำ เพื่อทำสงครามกับ กลุ่มอันศ็อรุลลอฮ์ ผู้ครอง Sana’a มาตั้งแต่ปี 2014
แฟ้มคดีนิวเคลียร์ของอิหร่าน
เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2018 บินซัลมานกล่าวอ้างว่า หากอิหร่านมีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครอง ซาอุฯก็จะมีการพัฒนาให้สามารถมีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครองเช่นกันในเร็ววัน ในเดือนพฤษภาคม ริยาดซึ่งไม่ได้ปิดบังความไม่พอใจของเขาต่อประเด็นข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน ได้ขานรับและยินดีที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯโดนัลด์ทรัมป์ ประกาศถอนตัวออกจากข้อตกลงดังกล่าว
ความพยายามทางการทูต
ในเดือนมีนาคม หลังจากการเดินทางสองครั้งไปยังอียิปต์และอังกฤษ และรับประทานอาหารกลางวันกับราชินี Elizabeth II แห่งสหราชอาณาจักร เจ้าชายมงกุฎแห่งซาอุดีอาระเบียเดินทางไปอเมริกานานกว่าสองสัปดาห์และได้รับการต้อนรับจาก Donald Trump ในฮูสตัน
มกุฎราชกุมารได้ไปเยือนบอสตัน นิวยอร์ก ซีแอตเติล ลอสแอนเจลิส หลังจากนั้นเขายังได้เดินทางไปยังฝรั่งเศสและสเปนอีกสองครั้ง
เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับความใกล้ชิดและความสัมพันธ์อย่างเปิดเผยกับอิสราเอล
ในช่วงต้นเดือนเมษายน กษัตริย์ซัลมานได้เน้นย้ำถึงจุดยืนที่ยาวนานของประเทศในการสนับสนุนประเด็นปัญหาปาเลสไตน์และสิทธิที่ถูกต้องตามกฎหมายของชาวปาเลสไตน์ในการมีสถานะเป็นอิสระในเยรูซาเล็ม ในทางตรงกันข้าม โมฮาเหม็ด บิน ซัลมาน กล่าวว่าอิสราเอลมีสิทธิที่จะอยู่อย่างสงบสันติในดินแดนของตน
เขาได้แสดงถ้อยคำที่ขัดแย้ง และอื้อฉาวในการให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Atlantic ซึ่งเป็นการอ้างอิงถึงความสัมพันธ์ระหว่างริยาดและเทลอาวีฟ
ในการสัมภาษณ์ครั้งนี้บินซัลมานกล่าวว่า ชาวยิวมีสิทธิ์ที่จะมีที่ประเทศและที่ดินของตนเอง
เขากล่าวว่า ชาวปาเลสไตน์และอิสราเอลมีสิทธิที่จะมีดินแดนของตนเอง แต่เราต้องบรรลุข้อตกลงอย่างสันติที่จะนำความมั่นคงมาสู่ทุกคนและนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่เป็นปกติระหว่างกัน
มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบียยังกล่าวอีกว่า อิสราเอลมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่เมื่อเปรียบเทียบกับพื้นที่ขนาดที่เล็ก ซึ่งอิสราเอลมีอำนาจเพิ่มขึ้นทุกวันและมีผลประโยชน์มากมายที่เราสามารถแบ่งปันกับอิสราเอลได้ หากมีสันติภาพเกิดขึ้น แน่นอนว่า จะได้รับผลประโยชน์อันมากมายระหว่างอิสราเอลกับชาติสมาชิกสภาความร่วมมืออ่าวและประเทศอื่น ๆ เช่นอียิปต์และจอร์แดน
หนังสือพิมพ์อิสราเอลเขียน โดยอ้างจากคำพูดของมกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบียว่า ผู้นำปาเลสไตน์ได้เสียโอกาสในการสร้างสันติภาพตั้งแต่ 40 ปีก่อน และปฏิเสธคำแนะนำทั้งหมด ชาวปาเลสไตน์ต้องยอมรับข้อเสนอและกลับไปที่โต๊ะเจรจามิฉะนั้นก็ควรจะเงียบ
หนังสือพิมพ์ Maariv เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับการพบปะเจรจาของมกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบียกับตัวแทนขององค์กรชาวยิวในระหว่างเดินทางมายังประเทศสหรัฐอเมริกา
“ปัญหาปาเลสไตน์ไม่ใช่ประเด็นสำคัญของรัฐบาลซาอุดีอาระเบียและยังมีประเด็นอื่นที่สำคัญอีก เช่นประเด็นปัญหาอิหร่าน” บินซัลมาน กล่าว
หนังสือพิมพ์ดังกล่าว เขียนว่า บินซัลมานเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการตกลงสันติภาพ และข้อตกลงระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ก่อนที่จะมีการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างกรุงริยาดกับกรุงเทลอาวีฟ
Source: isna.ir/