สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในโลกอิสลามและโลกอาหรับปัจจุบันนี้ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของสงคราม ความขัดแย้ง และการแบ่งแยกประเทศต่างๆนั้น มิใช่เป็นเรื่องที่อุบัติขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นแผนการที่คำนวณไว้ล่วงหน้า ซึ่งได้ถูกวางแผนไว้เมื่อหลายปีก่อน โดยชายเชือสายยิวผู้หนึ่ง ที่มีชื่อว่า “เบอร์นาร์ด ลูอิส”(Bernard Lewis)
“ฟัตฮี ชะฮาบุดดีน” นักเขียนแห่งโลกอาหรับ ได้อธิบายและแจกแจงรายละเอียดไว้ในบทความบทหนึ่ง เกี่ยวกับแผนการของเบอร์นาร์ด ลูอิส ในการแบ่งแยกโลกอิสลามและอาหรับ และเขาได้เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า :
บรรดาผู้ที่ไม่ได้อ่านประวัติศาสตร์นั้น พวกเขาคิดว่าสิ่งที่อเมริกาได้ดำเนินการในอิรักและได้ครอบครองประเทศนี้เป็นการดำเนินการที่เกิดขึ้นแบบอุบัติเหตุ โดยไม่ตั้งใจ และเป็นเพียงผลพวงจากเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ตัวอย่างเช่น สิ่งที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่เราได้เห็นเหตุการณ์ต่างๆในประเทศซูดาน สาเหตุที่นำไปสู่การแยกตัวของภาคใต้ของซูดานออกไปจากภาคเหนือของมัน คนส่วนมากมักหลงลืมไปว่า นี่คือข้อเท็จจริงอันยิ่งใหญ่ที่ว่า การดำเนินการดังกล่าว ที่จริงแล้ว เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินการตามแผนล่าอาณานิคม ซึ่งลัทธิไซออนิสต์สากลได้วางแผนไว้ ในความพยายามแบ่งแยกโลกอิสลามและโลกอาหรับ ทั้งนี้ โดยพื้นฐานแล้ว พวกเขาต้องการเปลี่ยนโลกทั้งสอง ให้กลายเป็นประเทศเล็กประเทศน้อย เพื่อให้ได้มาซึ่งปัจจัยขั้นพื้นฐานในเบื้องต้น สำหรับอำนาจการปกครองของระบอบไซออนิสต์จะได้ถูกจัดเตรียมขึ้นในดินแดนปาเลสไตน์ และจากนั้นก็จะขยายวงไปทั่วภูมิภาคของโลกตะวันออกกลาง
เป้าหมายของการตีแผ่ประเด็นนี้ ก็เพื่อทำให้โลกอิสลาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาเยาวชนมุสลิมได้รับรู้ถึงแผนการที่อันตรายนี้ โดยเฉพาะกรณีที่พวกไซออนิสต์สากลได้ทุ่มทุนมหาศาล เพื่อล้างสมองบรรดาเยาวชนและเบี่ยงเบนความคิดของพวกเขา ด้วยยุทธวิธีต่างๆ เช่นผ่านทางสื่่อ เพื่อที่พวกเขาจะยอมรับใช้อุดมการณ์ และสนองตอบต่อแผนการของระบอบไซออนิสต์และอเมริกาโดยดุษฎี
เบอร์นาร์ด ลูอิส คือใคร?
เบอร์นาร์ด ลูอิส เป็นยิวไซออนิสต์ สัญชาติอาหรับและเป็นจอมวางแผนที่อันตรายและร้ายกาจที่สุดแห่งศตวรรษในการแบ่งแยกโลกมุสลิมและโลกอาหรับออกเป็นส่วนๆ เริ่มตั้งแต่ปากีสถานไปจนถึงมอร็อกโค ซึ่งนิตยสารของกระทรวงกลาโหมของอเมริกาได้จัดพิมพ์และตีแผ่เรื่องนี้ไว้
เบอร์นาร์ด ลูอิสเกิดในกรุงลอนดอนในปี 1916 เขาเป็นนักบูรพาคดีศึกษา(Orientalists)ชาวอังกฤษเชื้อสายยิวที่มีสัญชาติอเมริกัน เขาจบการศึกษาในปี 1936 จากลอนดอน และได้ทำการสอนอยู่ในภาควิชาประวัติศาสตร์ของศูนย์การวิจัยเกี่ยวกับแอฟริกาตะวันออก
ผลงานเขียนต่างๆของเบอร์นาร์ด ลูอิส
ลูอิส ได้เขียนบทความ และหนังสือจำนวนมากเกี่ยวกับอิสลามและชาวมุสลิม ในความเป็นจริงแล้ว เขาได้ทำการเขียนและรวบรวมเนื้อหาเกี่ยวกับทุกๆเรื่องราวที่ประณามและดูถูกเหยียดหยามอิสลามเอาไว้ และด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้เองในระยะเวลาไม่นาน ผลงานการเขียนต่างๆของเขาจึงกลายเป็นหนังสืออ้างอิงของกลุ่มประเทศตะวันตกจำนวนมาก ผลงานการเขียนต่างๆของลูอิสครอบคลุมเนื้อหา โดยเริ่มจากเรื่องราวเกี่ยวกับ บรรดาพวกที่ติดยาเสพติด และพวกหัวรุนแรงที่นับถือศาสนาตามแนวความเชื่อเดิม(fundamentalist)ของนิกายอิสมาอีลียะฮ์ และกิรมิฏียะฮ์ มาจนถึงประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของโลก ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งจากเนื้อหาเหล่านั้น มีการกล่าวถึงขบวนการไซออนิสต์และแนวความเชื่อต่างๆของลัทธิไซออนิสต์ และเขาได้เน้นย้ำเกี่ยวกับแนวความเชื่อของลัทธิไซออนิสต์ของตนเอง
หนังสือพิมพ์วอลสตรีทเจอร์นัล : ลูอิส ผู้เชี่ยวชาญด้านทฤษฎีการครอบครอง และการแทรกแซงของอเมริกาในภูมิภาคตะวันออกกลาง
หนังสือพิมพ์วอลสตรีทเจอร์นัล(The Wall Street Journal)ได้เขียนเกี่ยวกับเบอร์นาร์ด ลูอิสไว้ว่า :
“เบอร์นาร์ด ลูอิส ชายวัย 90 ปี เป็นนักประวัติศาสตร์ที่โดดเด่นของตะวันออกกลาง ผู้ซึ่งได้จัดเตรียมข้อมูล แนวความคิดและความเชื่อทางอุดมการณ์ของรัฐบาลบุชในประเด็นต่างๆเกี่ยวกับตะวันออกกลางและสงครามของอเมริกาในการต่อต้านลัทธิก่อการร้าย โดยที่จำเป็นจะต้องยอมรับว่า เขาคือผู้เชี่ยวชาญตัวจริงเกี่ยวกับทฤษฎีนโยบายครอบครอง การปกครอง และการแทรกแซงของอเมริกาในภูมิภาคนี้”
ในนิตยสารฉบับเดียวกันนี้ ยังได้เขียนต่อไปว่า : ลูอิสได้แสดงการสนับสนุนและปกป้องประเด็นต่างๆอย่างเปิดเผย ในเรื่องการโจมตีต่างๆในสงครามครูเสด(Crusade)ตลอดระยะเวลาแห่งประวัติศาสตร์และในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมา และเขาได้ย้ำว่า การขออภัยสำหรับการโจมตีต่างๆเหล่านี้เป็นความโง่เขลาบริสุทธิ์
เบอร์นาร์ด ลูอิส คือผู้ประดิษฐ์สำนวนที่ว่า “การปะทะระหว่างอารยะธรรม”
แม้จะมีผู้กล่าวว่า สำนวนมายาคติของคำว่า”การปะทะระหว่างอารยะธรรม”นั้น ซามูเอล ฮันติงตัน(Samuel Huntington)นักคิดกลุ่มอนุรักษ์นิยมได้เป็นผู้ประดิษฐ์ขึ้น แต่กระนั้นก็ตาม “เบอร์นาร์ด ลูอิส”ผู้นี้ได้นำเสนอสำนวนดังกล่าวนี้ไปสู่ความคิดของสาธารณชน
ในหนังสือ “The Clash of Civilizations and the Remaking of World Order” ของฮันติงตัน ซึ่งถูกตีพิมพ์ในปี 1996 ผู้เขียนได้ชี้ให้เห็นในส่วนสำคัญของหนังสือของตนเอง เกี่ยวกับบทความหนึ่งที่ลูอิสได้เขียนไว้ในปี 1990 ภายใต้หัวข้อว่า “รากฐานที่มาของความโกรธกริ้วของชาวมุสลิม” และเขาได้เขียนไว้ในบทความนั้นว่า :
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าปฏิกิริยาของโลกอิสลามที่มีต่อพวกเรานั้น เป็นปฏิกิริยาทางประวัติศาสตร์ที่มีมาแต่ดั้งเดิม อิสลามคือ ฝ่ายผู้เป็นปรปักษ์กับอารยะธรรมต่างๆของชาวยิว และชาวคริสต์และอารยะธรรมที่มุ่งเน้นทางโลก(เซคคิวลาร์)ในปัจจุบันและการขยายอิทธิพลของเราออกไปในโลก
การสร้างความสัมพันธ์กับบรรดาเจ้าหน้าที่รัฐบาลในสหรัฐอเมริกา
ลูอิสนับตั้งแต่ทศวรรษที่เจ็ดสิบได้สถาปนาความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งและจริงใจกับกลุ่มอนุรักษ์นิยมใหม่(Neoconservative)ของอเมริกา ขณะที่ “กรีชต์”ซึ่งเป็นผู้หนึ่งจากสมาชิกของหน่วยงานข่าวกรองกลาง(ซีไอเอ)ของอเมริกาได้กล่าวเกี่ยวกับเขาว่า ลูอิสได้เป็นหนึ่งในที่ปรึกษาบุชซีเนียร์และบุชจูเนียร์ในกิจการทั่วไปเป็นระยะเวลายาวนานหลายปี
ในวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 2006 ดิก ชีนีย์ รองประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ซึ่งเป็นประธานาธิบดีของอเมริกาในสมัยนั้น ได้กล่าวคำปราศรัยเกี่ยวกับกิจการระหว่างประเทศในเมืองฟิลาเดลเฟีย ซึ่งในการนั้น เขาได้ยกย่องและเชิดชูเกียรติของลูอิสในคำพูดของตน ดิก ชีนีย์ ได้กล่าวในคำปราศรัยของตนว่า ลูอิสได้มายังวอชิงตันเพื่อเป็นที่ปรึกษาของรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมของอเมริกาในกิจการเกี่ยวกับตะวันออกกลาง
บุรุษผู้มีผลงานเขียนหลายพันเรื่องเกี่ยวกับตะวันออกกลาง
ลูอิสศาสตราจารย์ผู้เกษียณอายุของมหาวิทยาลัยพรินซ์ตันผู้นี้ ได้เขียนหนังสือและบทความเกี่ยวกับตะวันออกกลางจำนวนถึงสองหมื่นเรื่อง แน่นอนว่า ท่ามกลางผลงานเหล่านี้ เขาจำเป็นจะต้องกล่าวถึง หรือเขียนเกี่ยวกับ หัวข้อต่างๆที่ตกเป็นประเด็น เช่น “ชาวอาหรับในประวัติศาสตร์” “การปะทะระหว่างอิสลามและความคิดสมัยใหม่ในตะวันออกกลางยุคใหม่” “วิกฤตของอิสลาม”และ”สงครามเก่าแก่และการก่อการร้ายที่ไร้ความศักดิ์สิทธิ์”
บทบาทของเบอร์นาร์ด ลูอิสไม่จำกัดอยู่แค่การสร้างความเข้าใจ และในขณะเดียวกันการสร้างความเกลียดชังให้เกิดขึ้นในระหว่างบรรดาผู้นำของสองทวีป คืออเมริกาและยุโรปเพียงเท่านั้น ทว่าในฐานะที่เป็นไซออนิสต์ผู้หนึ่งที่อยู่ในรัฐบาลของจอร์จ ดับเบิลยู บุชนั้น เขาได้ดำเนินการวางแผนและนำเสนอยุทธศาสตร์ต่างๆของกลุ่มอนุรักษ์นิยมใหม่ของอเมริกาในการสร้างความเป็นศัตรูและความเป็นปรปักษ์อย่างรุนแรงต่ออิสลามและชาวมุสลิมให้เกิดขึ้นในรัฐบาลของบุช
การมีส่วนร่วมในการวางแผนทางยุทธศาสตร์ในการบุกยึดอิรัก
ในความเป็นจริงแล้ว เขาเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมในการการวางแผนทางด้านยุทธศาสตร์ในการบุกยึดอิรัก โดยที่หนังสือพิมพ์อเมริกาฉบับหนึ่งได้เขียนว่า ในช่วงเวลาที่มืดมนของจอร์จ ดับเบิลยู บุชและดิก ชีนีย์ ภายหลังจากเหตุการณ์ที่เครื่องบินได้พุ่งชนศูนย์กลางเศรษฐกิจของโลกนั้น ลูอิสได้อยู่ร่วมกับบุคคลทั้งสอง และในช่วงเวลาดังกล่าวนี้เอง ที่ลูอิสได้นำเสนอประเด็นเกี่ยวกับการบุกยึดประเทศอิรัก และเป้าหมายต่างๆที่แฝงอยู่ภายหลังจากนั้น รวมจนถึงเหตุผลของการบุกโจมตี ในรูปคำพูดต่างๆ อย่างเช่น “สงครามระหว่างอารยะธรรม”และ”ลัทธิการก่อการร้ายของอิสลาม”
ทัศนคติของเบอร์นาร์ด ลูอิสเกี่ยวกับชาวอาหรับและชาวมุสลิม
ในการสัมภาษณ์ลูอิส โดยสำนักข่าวแห่งหนึ่ง เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม ค.ศ. 2005 เขาได้กล่าวว่า :
ชาวอาหรับและชาวมุสลิมนั้นเป็นหมู่ชนที่เลวร้าย ซึ่งจะนำพาหมู่ชนอื่นๆ ไปสู่ความเสียหายด้วย คุณไม่สามารถที่จะทำให้พวกเขาเป็นผู้มีอารยะธรรมได้ และถ้าหากคุณปล่อยให้พวกเขาดำเนินไปตามยถากรรมของตัวเอง พวกเขาจะทำให้โลกตกอยู่ในภวังค์แห่งความตลึงงัน ด้วยกระแสการก่อการร้ายของตน ที่จะเป็นตัวบั่นทอนและทำลายอารยะธรรมทั้งหลายให้สูญสิ้นไป และพวกเขาจะทำลายสังคมของมนุษยชาติให้ย่อยยับ ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้ หนทางแก้ไขแบบสันติวิธีในการปฏิบัติกับพวกเขานั้นมีเพียงหนทางเดียว คือ การยึดครองประเทศต่างๆของพวกเขาอีกครั้งหนึ่ง และการล่าอาณานิคมแผ่นดินของพวกเขา และการทำลายวัฒนธรรมทางศาสนาและสังคมของพวกเขา และในกรณีที่อเมริกาต้องการแสดงความรับผิดชอบต่อบทบาทดังกล่าวนี้ จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้และใช้ประโยชน์จากประสบการณ์ของอังกฤษและฝรั่งเศสในการล่าอาณานิคมในภูมิภาคนี้ เพื่อป้องกันมิให้เกิดความผิดพลาดซ้ำรอยสองประเทศนี้
เขาได้ย้ำต่ออีกในการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ว่า การแบ่งแยกโลกอิสลามและโลกอาหรับออกเป็นส่วนๆ และเป็นกลุ่มชนและเผ่าชนต่างๆนั้น เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง และในการกระทำดังกล่าวนี้ ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงความรู้สึกหรือปฏิกิริยาใดๆของพวกเขา แต่สิ่งที่อเมริกาควรคำนึงหรือกังวลในเรื่องนี้ก็คือว่า เราจำเป็นจะต้องทำให้พวกเขาเข้ามาอยู่ในบ่วงและกรอบของเรา และทำการปกครองพวกเขาให้ได้ หรือว่าเราจะปล่อยให้พวกเขาอยู่ในสภาพของพวกเขาเช่นนี้ต่อไป โดยที่พวกเขาจะสร้างความเสียหายและทำลายอารยะธรรมของพวกเราให้หมดสิ้นไป?
การส่งเสริมให้ยึดครองโลกอาหรับและอิสลาม
ลูอิสชี้ให้เห็นว่า เขาไม่เห็นอุปสรรคใดๆที่จะมาขวางกั้นหนทางในการยึดครองอาณาเขตต่างๆของอาหรับและอิสลามเลย โดยที่เขากล่าวว่า : จากกรณีที่ว่า เรากำลังพยายามที่จะทำให้ชาวอาหรับและชาวมุสลิมเป็นผู้มีอารยะธรรม และจากกรณีที่ว่า เรามีความปรารถนาที่จะทำให้เกิดเสรีภาพและประชาธิปไตยขึ้นในประเทศทั้งหลายของพวกเขา ดังนั้นจำเป็นที่เราจะต้องล่าอาณานิคมประเทศเหล่านี้ และในแง่นี้ผมไม่เห็นว่าจะมีอุปสรรคใดๆในเรื่องนี้เลย ที่อเมริกาจะกดดันบรรดาผู้นำที่นิยมอิสลามของประเทศเหล่านี้เอาไว้เพื่อที่จะปลดปล่อยประชาชนของประเทศเหล่านั้นให้หลุดพ้นออกจากบ่วงพันธนาการของอิสลามและความเชื่อต่างๆที่เลวร้าย ด้วยจุดประสงค์ดังกล่าวนี้จำเป็นที่จะต้องตีวงการกดดันต่อประชาชนเหล่านี้ให้แคบลงเท่าที่จะทำได้ และทำให้พวกเขาเข้ามาอยู่ในวงล้อมให้ได้ และจะต้องใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุดจากความขัดแย้งในทัศนะความเห็นต่างๆที่มีอยู่ในประเทศเหล่านี้และความอคติในระหว่างเผ่าชน และการเล่นพรรคเล่นพวกที่มีอยู่ในหมู่พวกเขามาแต่เดิมในการยึดครองประเทศเหล่านี้
การวิพากษ์วิจารณ์การถอนตัวของอิสราเอลออกจากตอนใต้ของเลบานอน
ลูอิสยังได้วิพากษ์วิจารณ์การแก้ปัญหาอย่างสันติวิธีที่ถูกนำเสนอสำหรับความขัดแย้งระหว่างอาหรับกับ อิสราเอลในภูมิภาคตะวันออกกลางและการถอนตัวของอิสราเอลออกจากตอนใต้ของเลบานอน โดยกล่าวว่า : การถอนตัวครั้งนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากเสียจนเกินเหตุ และโดยไม่มีการคิดใคร่ครวญถึงผลกระทบที่จะติดตามมาของมัน ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้จึงเป็นเรื่องที่ไม่อาจแก้ตัวใดๆได้เลย ในความเป็นจริงแล้ว อิสราเอลนั้นคือด่านหน้าของอารยะธรรมตะวันตกในภูมิภาคนี้ ที่กำลังยืนหยัดและทัดทานต่อความเคียดแค้นและความเกลียดชังที่จอมปลอมของอิสลามที่มีต่อยุโรปและอเมริกา ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้ บรรดาประเทศตะวันตกจำเป็นจะต้องปกป้องอิสราเอลจากภยันตรายนี้ และพวกเขาเองจำเป็นจะต้องยืนหยัดเผชิญหน้ากับภัยคุกคามนี้อย่างไม่ย่อท้อ และในกรณีนี้ ไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องไปใส่ใจต่อความคิดเห็นของประชาคมนานาชาติ
การประชุมแอนแนโพลิส(Annapolis)กับเบอร์นาร์ด ลูอิส
ในช่วงปี 2007 ที่อเมริกาเรียกร้องให้มีการจัดประชุมแอนแนโพลิสนั้น เบอร์นาร์ด ลูอิสได้เขียนลงในหนังสือพิมพ์ The Wall Street Journal ว่า : ไม่จำเป็นที่เราจะต้องให้ความสำคัญและมองดูการประชุมครั้งนี้ และผลต่างๆที่เกิดจากมันมากไปกว่ากลยุทธ์ชั่วคราว ซึ่งท้ายที่สุดเป็นเพียงความพยายามในการสร้างพันธมิตรเพื่อต่อต้านอิหร่านและและทำให้เกิดความง่ายดายในการคัดแยกและการแบ่งบรรดาประเทศอาหรับและอิสลาม และเป็นการผลักดันให้ชาวเติกส์(ตุรกี) ชาวอาหรับ ชาวปาเลสไตน์และชาวอิหร่านห้ำหั่นชีวิตและฆ่าฟันกันเอง เช่นเดียวกับสิ่งที่สหรัฐอเมริกาได้กระทำกับอินเดียนแดงของอเมริกา
การวางแผนของเบอร์นาร์ด ลูอิสเพื่อการคัดแยกและการแบ่งซอยโลกอิสลามและอาหรับซึ่งจะเป็นนโยบายของอเมริกาในช่วงปีทั้งหลายในอนาคต
- ในปี 1980 และในช่วงที่สงครามอิรักและอิหร่านกำลังดำเนินอยู่นั้น เบรอชินสกี(Brzezinski) ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของอเมริกาในช่วงเวลานั้นได้กล่าวว่า : ปัญหาหลักและเป็นปัญหาสำคัญยิ่งที่อเมริกากำลังเผชิญหน้าอยู่ในขณะนี้ ก็คือ อเมริกาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรที่จะสามารถทำให้สงครามอื่นๆเกิดขึ้นในอ่าวเปอร์เซียควบคู่ไปกับสงครามอิรักกับอิหร่าน เพื่อที่ว่า อเมริกาจะสามารถแก้ไขและเปลี่ยนแปลงข้อตกลง “ไซเกส – ปีโกต์” (Sykes – Picot Agreement) ได้
- สืบเนื่องมาจากถ้อยแถลงดังกล่าวนี้ และเป็นไปตามคำสั่งของกระทรวงกลาโหมของอเมริกา(เพนตากอน) เบอร์นาร์ด ลูอิส จึงได้รับคำสั่งให้วางแผนอันเป็นที่เลื่องลือของตนในการทำลายความเป็นเอกภาพทางกฎหมายของประเทศอิสลามและอาหรับทั้งหมด และในการนี้ เขาได้ถูกมอบหมายหน้าที่ให้วางแผนแบ่งแยกแต่ละประเทศอิสลามและอาหรับ โดยจะครอบคลุมประเทศ อย่างเช่น อิรัก ซีเรีย เลบานอน อียิปต์ อิหร่าน ตุรกี อัฟกานิสถาน ปากีสถาน ซาอุดีอาระเบีย ประเทศต่างๆในแถบอ่าวเปอร์เซียและแอฟริกาเหนือ และด้วยกับแรงบันดาลใจจากคำพูดของเบรอชินสกี (Brzezinski)นี้เอง ที่เขาดำเนินการจัดเตรียมแผน และโครงการแบ่งแยกประเทศต่างๆของโลกอิสลาม
หลังจากเบรอชินสกี (Brzezinski)ในช่วงสมัยดังกล่าวนี้ จิมมี่ คาร์เตอร์ อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาเองก็ต้องการให้เกิดสงครามแห่งที่สองขึ้นในตะวันออกกลาง และเฉพาะเจาะจงในภูมิภาคอ่าวเปอร์เซีย เพื่อที่อเมริกาจะได้มีโอกาสแก้ไขข้อกำหนดต่างๆของสนธิสัญญา“ไซเกส – ปีโกต์” (Sykes – Picot Agreement) และปรับปรุงมันเพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของอเมริกาในภูมิภาคนี้ - ในปี 1983 สภาคองเกรสของอเมริกา โดยการประชุมลับได้ตกลงกับเบอร์นาร์ด ลูอิส และในการประชุมครั้งนี้เองที่สภาคองเกรสได้อนุมัติแผนของลูอิสและออกคำสั่งให้บรรจุแผนนี้ลงในแฟ้มนโยบายยุทธศาสตร์ของอเมริกาสำหรับปีต่างๆในอนาคต
รายละเอียดของแผนการของไซออนิสต์กับอเมริกาในการแบ่งแยกโลกอิสลามและอาหรับ :
- อียิปต์
บนพื้นฐานของแผนร่างนี้ประเทศอียิปต์จะถูกแบ่งออกเป็น 4 ประเทศเล็ก ๆ คือ :
1 – ไซนาอ์และตะวันออกของเดลตา ซึ่งจะต้องอยู่”ภายใต้อิทธิพลและการควบคุมของชาวยิว”เพื่อปูทางไปสู่การบรรลุความฝันของการสถาปนารัฐไซออนิสต์ที่ครอบคลุมอาณาเขตจากลุ่มแม่น้ำไนล์ไปจรดแม่น้ำยูเฟรติส
2 – ประเทศคริสเตรียน โดยมีเมืองหลวงคืออิสกันดะรียะฮ์(Alexandria) ประเทศนี้ได้ถูกวาดจากทางทิศใต้โดยเริ่มจากเมืองบนีซะวีฟ(Beni-Suef)ไปจนถึงตอนใต้ของเมืองอัสยูฏ(Asyut) และจากทางทิศตะวันตกไปจนถึงเมืองฟัยยูม(Faiyum)และตราบเท่าที่เป็นไปได้เมืองฟัยยูม(Faiyum)เอง ก็จะถูกรวมเข้าอยู่ในประเทศนี้ด้วย ประเทศนี้จะดำเนินไปตามแนวของทะเลทราย ข้ามผ่านจากที่ราบนัฏรูน จนทำให้อาณาเขตนี้เชื่อมต่อกับอิสกันดะรียะฮ์(Alexandria)
3 – ประเทศโนเบฮ์ : ซึ่งจะเกิดขึ้นโดยการรวมพื้นที่ทางตอนเหนือของซูดานเข้ากับมัน โดยมีเมืองหลวงเป็นเมือง”อัสวาน” (Aswan)ประเทศนี้จะครอบคลุมพื้นที่จากโนเบฮ์ ที่ราบสูงตอนบนของอียิปต์ไปจนถึงทางตอนเหนือของซูดาน เพื่อที่ว่าประเทศโนเบฮ์นี้จะได้ตั้งอยู่ในพื้นที่ของทะเลทรายขนาดใหญ่ และติดต่อกับประเทศของชาวเบอร์เบอร์( Berbers)ซึ่งประกอบด้วยทิศใต้ของโมร็อกโคไปจนจรดทะเลแดง
4 – อียิปต์ของอิสลาม โดยมีไคโรเป็นเมืองหลวง ซึ่งในความเป็นจริงแล้วจะประกอบขึ้นจากพื้นที่ส่วนที่เหลือของอียิปต์ และอย่างไรก็ตาม จะอยู่ภายใต้อิทธิพลและการครอบงำของอิสราเอล
- ซูดาน
เป็นไปตามแผนที่ถูกนำเสนอโดยเบอร์นาร์ด ลูอิส ซูดานจะถูกแบ่งซอยเป็น 4 ประเทศขนาดเล็ก เช่นเดียวกับอียิปต์ คือ :
1 – ประเทศโนเบฮ์ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเป็นส่วนหนึ่งที่ถูกผนวกเข้าไปกับประเทศโนเบฮ์ของอียิปต์ ที่มีเมืองหลวงเป็นเมืองอัสวาน และดินแดนของซูดานจะถูกผนวกเข้าไปยังประเทศนี้
2 – ประเทศอิสลามแห่งซูดานในภาคเหนือ
3 – ประเทศคริสเตียนในภาคใต้ของซูดาน ซึ่งกำลังจะประกาศการแยกตัวของตนเอง โดยการจัดทำประชามติจอมปลอม (และในทางปฏิบัติเราจะเห็นได้ว่าภายใต้แผนนี้ ประเทศซูดานใต้หลังจากที่มีการลงประชามติได้ก่อตั้งขึ้นแล้วเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2011 โดยการแยกตัวออกจากซูดาน)
4 – ประเทศดาร์ฟูร์ (Darfur)ซึ่งแผนการต่างๆ ที่จะแยกมันออกจากของซูดาน โดยเฉพาะภายหลังจากการแยกตัวของตอนใต้ของซูดานแล้วนั้น ได้ทวีความรุนแรงขึ้นมาก โดยที่จำเป็นจะต้องตระหนักว่า อาณาเขตของดาร์ฟูร์เป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์และมั่งคั่งไปด้วยแร่ยูเรเนียม ทองคำและน้ำมัน
- ประเทศต่างๆในแอฟริกาเหนือ
การแบ่งซอยลิเบีย แอลจีเรียและโมร็อกโคโดยมีวัตถุประสงค์ในการจัดตั้ง :
1 – ประเทศเบอร์เบอร์ ซึ่งมีแนวติดต่อกับประเทศโนเบฮ์แห่งอียิปต์และซูดาน
2 – ประเทศโพลีซารีฟ
3 – และพื้นที่ส่วนที่เหลือ ก็คือบรรดาประเทศที่ถูกทำให้มีขนาดเล็กลง ซึ่งประกอบด้วยโมร็อกโค แอลจีเรีย ตูนิเซียและลิเบีย
- คาบสมุทรอาหรับและอ่าวเปอร์เซีย
การลบคูเวต กาตาร์ บาห์เรน โอมาน เยเมนและสหรัฐอาหรับเอมิเรตออกจากแผนที่ โดยที่คาบสมุทรอาหรับและอ่าวเปอร์เซียจะประกอบไปด้วยสามประเทศเพียงเท่านั้น คือ :
1 – ประเทศอะห์ซาอ์ของชาวชีอะฮ์ซึ่งประกอบด้วยคูเวต ยูเออี กาตาร์ โอมานและบาห์เรน
2 – ประเทศนัจด์ของชาวซุนนี
3 –ประเทศฮิญาซของชาวซุนนี
- ประเทศอิรัก
การแบ่งซอยอิรักจะเกิดขึ้นบนพื้นฐานของหลักการเชื้อชาติ ศาสนาและมัซฮับ(นิกาย)ในรูปแบบที่เคยเกิดขึ้นในประเทศซีเรีย ในยุคออตโตมันและจากการแยกประเทศนี้จะก่อให้เกิด 3 ประเทศเล็กขึ้น คือ :
1 – ประเทศของชาวชีอะฮ์ในภาคใต้ที่จะเกิดขึ้นรอบ ๆ เมืองบัศเราะฮ์
2 – ประเทศของชาวซุนนีในพื้นที่ในกลางของอิรัก ซึ่งจะเกิดขึ้นรอบๆกรุงแบกแดด
3 – ประเทศของชาวเคิร์ดในทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอิรักซึ่งจะเกิดขึ้นรอบๆเมืองโมซูล(Mosul)ซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของชาวเคิร์ด และรวมถึงบางส่วนของอิหร่าน ซีเรีย ตุรกี และอดีตสหภาพโซเวียตซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของชาวเคริ์ด
ประเด็นสำคัญที่ควรรับรู้
ในที่นี้จำเป็นที่จะต้องชี้ให้เห็นถึงประเด็นที่สำคัญยิ่งประการหนึ่ง นั่นคือ สภาสูง(วุฒิสภา)ของอเมริกาในวันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 2007 เห็นด้วยที่จะถอนกองกำลังกองกำลังอเมริกันออกจากอิรัก โดยมีเงื่อนไขว่ากรุงแบกแดดจะต้องยอมตงลงเกี่ยวกับการจัดตั้งสามประเทศดังที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น และได้ขอให้มัสอูด บอร์ซอนี จัดทำประชามติเกี่ยวกับการกำหนดชะตากรรมของพื้นที่เคอร์ดิสถาน โดยมีเมืองคอร์คุกซึ่งเป็นเมืองที่อุดมไปด้วยทัพยากรน้ำมันในพื้นที่นี้เป็นเมืองหลวง และเป็นที่รับรู้กันดีว่าฟัรมอน พะรีเมอร์ และพันธมิตรของเขาในอิรักเรียกร้องให้มีการจัดตั้งรัฐอิสระขึ้นในอิรักบนพื้นฐานของเผ่าชน ซึ่งประกอบไปด้วยสามรัฐ ได้แก่รัฐของชีอะฮ์ทางตอนใต้ รัฐของซุนนีในใจกลางและรัฐของชาวเคร์ดทางตอนเหนือ
- ประเทศซีเรีย
บนพื้นฐานแผนการแบ่งแยกของลูอิสนั้น ซีเรียก็จำเป็นจะต้องถูกแบ่งซอยบนหลักพื้นฐานของศาสนา มัซฮับ(นิกาย) และเผ่าชนออกเป็น 4 ประเทศเล็ก ๆ เชนเดียวกัน คือ :
1 – ประเทศอะละวีของชาวชีอะฮ์ตั้งอยู่ตามแนวชายฝั่งทะเล
2 – ประเทศของชาวซุนนีในพื้นที่ฮะลับ( Aleppo)
3 — ประเทศของชาวซุนนีในดามัสกัส
4 – ประเทศของชาวดรูซี่(Druze)ในเญาลาน (Golan)และเลบานอน(ประเทศนี้จะประกอบด้วยดินแดนทางตอนใต้ของซีเรีย ตะวันออกของจอร์แดนและพื้นที่บางส่วนของเลบานอน)
- ประเทศเลบานอน
ตามแผนการแบ่งแยกโลกอิสลามและอาหรับของเบอร์นาร์ด ลูอิส เลบานอนจะถูกแบ่งออกเป็น 8 ประเทศเล็ก ๆ บนพื้นฐานของการแบ่งตามเชื้อชาติและศาสนาดังต่อไปนี้ :
1 – ประเทศซุนนีในภาคเหนือโดยมีตริโปรลีเป็นเมืองหลวง
2 – ประเทศของชาวมารูนี(Maronites)ในภาคเหนือโดยมีญูนียะฮ์เป็นเมืองหลวง
3 – ประเทศอะละวีพื้นที่ราบบิกออ์ โดยมีบะอ์ละบักเป็นเมืองหลวงซึ่งจะอยู่ภายใต้อิทธิพลของซีเรียทางด้านตะวันออกของเลบานอน
4 — ประเทศสากลแห่งเบรุต
5 – ประเทศปาเลสไตน์ที่อยู่รอบๆไซดาน(Sidon)ไปจนถึงแม่น้ำลีตาน(Litan)ซึ่งองค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์จะทำการปกครองมัน
6 – ประเทศของชาวกะตาอิบีในตอนใต้ซึ่งจะครอบคลุมชาวคริสต์และจำนวนหนึ่งล้านห้าแสนคนของชาวชีอะฮ์แห่งเลบานอน
7 — ประเทศของชาวดรูซี่(Druze)ซึ่งจะประกอบจากดินแดงต่างๆของเลบานอน ซีเรียและดินแดนปาเลสไตน์ที่ถูกยึดครอง
8 – ประเทศของคริสเตียนซึ่งจะอยู่ภายใต้อิทธิพลของอิสราเอล
- อิหร่าน ปากีสถานและอัฟกานิสถาน
ทั้งสามประเทศนี้จะถูกแบ่งออกเป็น 10 ประเทศที่มีขนาดเล็กตามเผ่าชนและถูกทำให้อ่อนแอ ได้แก่ :
1 – เคอร์ดิสถาน
2 – อาเซอร์ไบจาน
3 – เตอร์กิสถาน
4 – อาระบิสถาน
5 – อิรานิสถาน(จะถูกจัดตั้งขึ้นจากส่วนที่เหลือภายหลังจากการแบ่งซอยแล้ว)
6 – บูคูนิสถาน
7 – บาลูจิสถาน
8 – อัฟกานิสถาน(ส่วนที่เหลือของอัฟกานิสถานภายหลังจากการแบ่งซอย)
9 – ปากีสถาน(ส่วนที่เหลือของปากีสถานภายหลังจากการแบ่งซอย)
10 – แคชเมียร์
- ตุรกี
ตุรกีจะถูกแยกบางส่วนจากดินแดนของมัน และผนวกเข้าไปยังประเทศเคอร์อิสถานในอิรัก
- จอร์แดน
การลบประเทศจอร์แดนและการมอบให้แก่รัฐปกครองตนเองแห่งปาเลสไตน์ - ปาเลสไตน์
การลบประเทศและประชาชนชาวปาเลสไตน์ออกอย่างสมบูรณ์ (ท่านทั้งหลายจงดูแผนที่ของมหานครอิสราเอล)
- เยเมน
การลบการดำรงอยู่ของประเทศเยเมนออกอย่างสมบูรณ์ ทั้งภาคเหนือและภาคใต้เยเมน และผนวกมันเข้าไปยังประเทศฮิญาซ
แม้ดูเหมือนว่าการตื่นตัวของอิสลามจะสามารถเป็นอุปสรรคต่อแผนการล่าอาณานิคมนี้ แต่การปิดล้อมและการช่วงชิงการปฏิวัติเหล่านี้ ก็สามารถที่จะเปิดทางสำหรับแผนการของอเมริกาและอิสราเอลในอนาคตนี้ได้
Source: farsnews