โดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯด้วยการกระทำที่โง่เขลา ได้ประกาศยกเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล และมีคำสั่งให้รัฐบาลของเขา เตรียมการย้ายสถานทูตสหรัฐฯจากเมืองเทลอาวีฟไปยังเมืองศักดิ์สิทธิ์ของทั้งสามศาสนาที่ยิ่งใหญ่!
คำสั่งนี้ -ซึ่งเหมือนกับหลายคำสั่งของนายผู้นี้ ที่ไม่ได้มีเหตุผลสนับสนุนเพียงพอ – ไม่เพียงแต่ก่อให้เกิดการประท้วงของชาวมุสลิมทั่วโลกเท่านั้น แต่ยังนำไปสู่การประท้วงและการวิพากษ์วิจารณ์ในหมู่พันธมิตรของอเมริกาอีกด้วย และแม้แต่ศัตรูเก่าแก่ของสหรัฐฯก็ผนึกกำลังกันอีกครั้ง
ต่อไปนี้คือการวิเคราะห์สั้นๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์ผิดพลาดที่เกิดขึ้น และกลยุทธ์ที่ถูกต้องของโลกอิสลามในประเด็นนี้:
นับจากรัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ “อาเธอร์ เจมส์ บัลโฟร์” ได้เขียนจดหมายถึงผู้นำอาวุโสของขบวนการไซออนิสต์ “ลอร์ด รอทไชลด์” (Lord Rothschild)ว่า แผ่นดินนี้ (เยรูซาเล็ม) เป็นแผ่นดินอันศักดิ์สิทธ์แห่งพันธะสัญญาของชาวยิวและมอบแผ่นดินนี้ให้กับยิวไซออนิสต์ ถือว่าครบรอบ 100 ปีพอดี ในปี 1971 เจมส์ อาร์เธอร์ฟอร์ โดยยกปาเลสไตน์ให้กับยิวไซออนนิสต์ ทำให้อิสราเอลเริ่มมีการครอบครองแผ่นดินของชาวมุสลิมและทำลายอัตลักษณ์ประจำชาติของปาเลสไตน์
หนึ่งร้อยปีหลังจาก“ปฏิญญาบัลโฟร์” ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาได้ยกเยรูซาเล็ม “Quds” เป็นเมืองหลวงของอิสราเอล!แม้ว่าการกระทำของโดนัลด์ ทรัมป์ อาจจะไม่ใช่เป้าหมายสูงสุดในทางปฏิบัติเหมือนกับ“ปฏิญญาบัลโฟร์” ทว่ามันก็เป็นอีกสิ่งแปลกใหม่หนึ่งในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
นอกจากนี้การกระทำของทรัมป์นอกเหนือจากที่ก่อให้เกิดปมคำถามเกี่ยวกับมติของสหประชาชาติก่อนหน้านี้แล้ว จากมุมมองของประเทศที่สนับสนุนการฟื้นฟูความสัมพันธ์ ถือเป็นการทำลายนโยบายของอเมริกาและอาหรับเกี่ยวกับการเจรจาสันติภาพอย่างสิ้นเชิงในช่วงสองสามทศวรรษที่ผ่านมา ประเด็นการเจรจากับทรัมป์ในภาคปฏิบัติก็ไร้ประโยชน์และนำมาซึ่งความร่วมมือและความสามัคคีกันของกลุ่มต่างๆในการสนับสนุนชะตากรรมในอนาคตของปาเลสไตน์และเยรูซาเล็ม
ถ้าหากต้องการพิจารณาเหตุการณ์อย่างแท้จริงแล้ว แม้ว่าการกระทำของทรัมป์เพื่อซื้อความพึงพอใจของบรรดาล็อบบี้ชาวอิสราเอล แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันได้สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงให้กับระบอบการปกครองผู้ยึดครองเยรูซาเล็มโดยที่เขาเองอาจจะไม่รู้ตัว
ในอีกด้านหนึ่ง ทรัมป์ในการลงนามอนุมัติกฎหมายย้ายสถานทูตอเมริกาไปยังเยรูซาเล็มได้อ้างและนำเสนอคำพูดของ บารักโอบามา และ บุช อดีตสองประธานาธิบดีสหรัฐฯมาอ้างอิงประกอบ ดังนั้นในความเป็นจริง การตัดสินใจของ ทรัมป์ไม่ได้เป็นการตัดสินใจที่พละการ และไม่สมเหตุสมผลว่าด้วยนโยบายต่างประเทศแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังเป็นพฤติกรรมของสหรัฐฯในการจัดการกับกรณีปาเลสไตน์อีกด้วย
อิสราเอลไซโอนิสที่มีความต้องการทำลายล้างปาเลสไตน์ตลอดมา แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาพวกเขาไม่สามารถบรรลุเป้าหมายนั้นได้อย่างสมบูรณ์ หลังจากการปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน ก็ได้เกิดขบวนการต่อสู้และปกป้อง(มุกอวิมัต)อิสลามขึ้นในปาเลสไตน์ และการเคลื่อนไหวนี้ได้รับการสนับสนุนจากการปฏิวัติอิสลาม สามารถขับไล่รัฐบาลระบอบยิวไซออนิสต์ออกจากพื้นที่สำคัญของภูมิภาคนี้ในการรุกรานและสงครามในฉนวนกาซา
ในเวลาเดียวกันนั้น ได้เกิดสองขบวนการอินติฟาฏา (intifada )ในปาเลสไตน์ที่สำคัญ ด้วยการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากการปฏิวัติอิสลามและประสบความสำเร็จอย่างมาก ความโดดเดี่ยวและตกต่ำของไซโอนิสในเลบานอนและการล่าถอยในปี 2000 และความพ่ายแพ้ในสงคราม 33 วัน ทำให้อิสราเอลล้มเหลวในแผนการยึดครองปาเลสไตน์
ตั้งแต่ปี 2011 เป็นต้นมา อิสราเอลก็ถูกกลืนหายไปโดยคลื่นแห่งการตื่นตัวของโลกอิสลาม ทว่าด้วยการสร้างวิกฤติการณ์ทางชาติพันธ์-และนิกาย อันเป็นปัญหาที่ก่อให้เกิดสงครามหกปีในอิรักและซีเรีย ตามแผนการของสหรัฐฯและพันธมิตร เพื่อรักษาไว้ซึ่งความปลอดภัย และความมั่นคงของอิสราเอลในภูมิภาค และเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองอื่นๆ ทำให้ประเด็นปาเลสไตน์ไปถึงระดับต่ำสุดของความกังวลทางสังคมในหมู่คนเอเชียตะวันตก อย่างไรก็ดี ด้วยกับความผิดพลาดทางยุทธศาสตร์ของทรัมป์เองในกรณีของอิสราเอลเมื่อไม่นานมานี้ ได้เปลี่ยนประเด็นเรื่องเสรีภาพของเยรูซาเล็ม เป็นประเด็นอันดับแรกที่สำคัญของโลกอิสลาม ประชาชนมุสลิมเริ่มลุกฮือ และต่อต้านระบอบปกครองที่กดขี่อีกครั้งหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ทรัมป์ได้ประกาศว่า เขาจะมีส่วนร่วมกับซาอุดิอาระเบียในการสกัดกั้นกองกำลังต้านทาน(มุกอวิมัต)ที่เป็นอุปสรรคต่อการก่อตัวของรัฐไซออนิสม์ ภัยฟิตนะห์ของ”Ali Abdullah Saleh” ในเยเมนหากไม่ได้รับการจัดการอย่างถูกต้องก็จะนำไปสู่การพ่ายแพ้ของการต่อต้านในซานา แต่ด้วยความเฉลียวฉลาด และการยับยั้งของ Ansarullah และกลุ่มชาวเยเมนอื่น ๆ ได้ช่วยป้องกันและดับไฟฟิตนะห์(หายนะ)ในครั้งนี้
ในเลบานอน Seyyed Hassan Nasrallah เลขาธิการพรรคฮิซบุลลอฮ์ ได้ออกมาเผชิญหน้ารับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปยังพฤติกรรมของซาอุดิอาระเบียกรณีการลาออกของ Sa’d al-Hariri ทำให้แผนการร้ายดังกล่าวล้มเหลวไป นอกจากนี้ยังมีกลุ่มมุกอวิมัตอื่นๆในอิรัก โดยทั้งหมดได้ทำให้แผนการร้ายต่างๆของอเมริกาในภูมิภาคล้มเหลว
การประกาศย้ายสถานทูตจากกรุงเทลอาวีฟไปยังกรุงเยรูซาเล็มได้กลายเป็นกระแสการประท้วงและการผนึกกำลังของประชาชาติอิสลามทั่วโลกอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งสามารถกล่าวได้ว่า ไม่มีปัญหาใดที่ทำให้ประชาชาติอิสลามสามารถแสดงพลังและรวมตัวกันเช่นนี้ และรวมกันเพื่อต่อสู้กับอิสราเอล การตัดสินใจผิดของทรัปม์ และทำเนียบขาวทำให้เกิดความสามัคคีเช่นนี้ ซึ่งควรจะเรียกว่า “ความโปรดปรานพิเศษที่ซ่อนเร้นของพระเจ้า” บางทีเมื่อไม่นานมานี้ ไม่มีใครคิดว่ารัฐบาลมาเลเซียจะพูดถึงตัวเลือกทางทหารเพื่อปลดปล่อยปาเลสไตน์ หรือการออกมาประณามกลุ่มส่วนใหญ่ในโลกอาหรับที่อ้างประเด็นเจรจาสันติภาพในการสร้างสัมพันธ์กับอิสราเอลและอเมริกา
ขณะนี้ กลุ่มต่างๆในอียิปต์ ตูนิเซีย จอร์แดน และ ลิเบีย ต่างเข้าร่วมกับปัญหาปาเลสไตน์ และพวกเขาแสดงความโกรธมากไปยังสหรัฐฯ แม้แต่สามารถกดดันรัฐบาลซาอุดีอาระเบียให้ออกมาประกาศและแสดงจุดยืนที่ชัดเจนของตนต่อสาธารณชน แม้ว่าสื่อพิมพ์และเครือข่ายต่างๆของอเมริกาและอิสราเอลได้นำเสนอข้อความแสดงความยินดีของ “เจ้าชาย โมฮัมมหัด บิน ซัลมาน ” อย่างลับ ๆ เกี่ยวกับการตัดสินใจของทรัมป์ แต่ทว่าสำหรับผู้ที่สนับสนุนกรณีการเจรจาสันติภาพนั้น ถือเป็นบทเรียนราคาแพงที่ถูกประณามในสื่ออย่างเป็นทางการต่อการตัดสินใจของสหรัฐอเมริกาในการยกเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของยิว ในสถานการณ์ดังกล่าว เสียงของสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านนับจากเริ่มสถาปนารัฐอิสลาม ที่เรียกร้อง “อิสรภาพและการปลดปล่อยเยรูซาเล็ม” คราวนี้จึงได้รับความสนใจจากบรรดานักคิดนักวิเคราะห์จากทั่วโลก หรือพูดในอีกนัยหนึ่ง คือ เป็นที่ถูกกล่าวถึงจากปากของ “คนอื่น” โดยปริยาย
คำถามตอนนี้คือ หน้าที่ของ กลุ่ม Islamist และกลุ่มปฏิวัติทั้งหลายคืออะไร ?
คำตอบควรจะกล่าวว่า “ภาระกิจที่สำคัญที่สุดของกลุ่มอิสลามและกลุ่มปฏิวัติคือการรักษาความปึกแผ่นภายในและให้ความสนใจกับปัญหาเกี่ยวกับอิสรภาพของอัลกุดส์ “ ดังนั้นไม่ควรทำลายโอกาสอันนี้ให้หลุดมือไป ด้วยการสร้างความแตกแยกอีกครั้งหนึ่งในหมู่ประชาชาติและกลุ่มต่างๆของอิสลาม ด้วยการมาของภัยฟิตนะห์ครั้งใหม่
หวังว่าโลกอิสลามจะปลอดจาก “มะเร็งร้ายอิสราเอล”ในอนาคตอันใกล้นี้
Source: fa.abna24