บทความ: ความหวังของโลกอิสลาม เมื่อ “การเจรจา” ไม่เคยมีอยู่ในนโยบายของอิสราเอล

241
US President Donald Trump smiles during a press conference at the President’s Residence in Jerusalem on May 22, 2017. / AFP PHOTO / Thomas COEX

การรับรองสถานะเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของระบอบไซออนิสต์ อิสราเอล โดยคำประกาศของทรัมป์ ไม่ได้ทำให้ปัญหาเดิมเปลี่ยนไป เพราะปัญหาอยู่ที่การมีอยู่ของระบอบไซออนิสต์

จากกรณีย้ายสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯไปยังกุดส์ ( Quds ) ประเด็นที่เราควรพิจารณา คือ ความกลับกลอก เชื่อถือไม่ได้ของสหรัฐฯและอิสราเอล ความต่ำช้าไร้มนุษยธรรมของพวกเขา เป็นสิ่งที่ทำให้โลกอาหรับและอิสลามอ่อนแอ และไม่เป็นที่ยำเกรงต่อบรรดาศัตรู เนื่องจากทรัมป์ได้ ระบุไว้อย่างชัดเจนในคำกล่าวของเขาว่า แม้จะมีการประท้วงจากประธานาธิบดีหลายสิบคน แต่เขายังคงตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อความคิดเห็นของประธานาธิบดีเหล่านั้น ทั้งยังไม่แยแสเกี่ยวกับพวกเขา เมื่อคำนึงถึงเส้นทางสู่ผลประโยชน์ของตนและพันธมิตร

ดังนั้นไม่มีประธานาธิบดีหรือกษัตริย์หรือผู้เรียกร้องปกป้องกุดส์ และปาเลสไตน์คนใดสามารถหยุดยั้งเขาได้หรือแม้แต่สามารถชะลอการตัดสินใจของเขาได้

ระเบียบโลกใหม่ (New World Order) ได้ส่งเสริมให้คนบ้าบิ่น และดื้อรั้นอย่างทรัมป์ สามารถเยาะเย้ยระบอบอาหรับและอิสลามทั้งหมดได้ เนื่องจากบุคคลที่มีภูมิคุ้มกันจากการถูกลงโทษ ย่อมไม่กลัวผลกรรมของการกระทำใด ๆของตนทั้งสิ้น

อิหม่ามโคมัยนี ผู้นำปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน เมื่อ 50 ปีที่แล้วกล่าวว่า “อิสราเอลจะต้องถูกลบไปจากหน้าประวัติศาสตร์” และ “อเมริกาเป็นปีศาจที่ยิ่งใหญ่” เพราะความเป็นจริงแล้ว ระบอบไซออนิสต์ไม่เข้าใจภาษาใด นอกจากการใช้ความรุนแรงเท่านั้น ดังนั้นระบอบนี้จึงสมควรถูกทำลายชนิดขุดรากถอนโคน ทั้งนี้ แนวคิดของอิมามโคมัยนี ขัดแย้งกับความคิดและการปฏิบัติของบรรดานัดคิดเชิงบูรณาการ และกษัตริย์แห่งตะวันออกกลาง ที่เชื่อว่า การเจรจาและการประนีประนอมเป็นสิ่งจำเป็นกับบรรดามหาอำนาจผู้อังหารเหล่านี้

สามารถที่จะกล่าวได้ว่าตราบเท่าที่ระบอบที่ขาดมโนธรรม อย่างอิสราเอลยังคงดำรงอยู่ การตัดสินใจที่ไร้มนุษยธรรมของอเมริกาก็จะยังคงมีให้เห็นต่อไปอย่างต่อเนื่อง การเจรจาเพื่อบรรลุสันติภาพไม่มีอยู่จริง มันเป็นข้อเท็จจริงที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว 

อย่างไรก็ดี ความหวังของปาเลสไตน์ และประชาชาติมุสลิม ขึ้นอยู่กับปฏิกิริยาของประเทศในโลกอิสลาม เราเห็นได้ว่าประเทศเล็ก ๆ อย่างเกาหลีเหนือ ได้ข่มขู่สหรัฐฯโดยขีปนาวุธนิวเคลียร์ข้ามทวีป และวอชิงตันก็ไร้ความสามารถในการเผชิญหน้ากับปัญหาดังกล่าว และประเทศในตะวันออกกลางที่เรียกว่า สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ก็สามารถท้าทายสหรัฐฯได้เพียงลำพัง และสามารถสร้างความอัปยศให้กับพวกเขาได้ ดังนั้นการตัดสินใจ และความเคลื่อนไหวทั้งหมดของศัตรูจึงขึ้นอยู่กับ ท่าที และความปรารถนาที่แท้จริงแห่งชาติอิสลาม ความเป็นอิสระและความมุ่งมั่นของผู้นำ และผู้บัญชาการในประเทศมุสลิม ทั้งนี้ เราเห็นได้ถึงความอ่อนแอ เมื่อริยาด-ราชวงศ์ซาอุฯ ได้บริจาคเงิน 450,000 ล้านเหรียญในชั้นทองให้แก่ทรัมป์ และจากนั้นก็ดึงชายเสื้อของกาตาร์ ประเทศเพื่อนบ้านของตน เพื่อให้คุกเข่ากับเนทันยาฮู และทรัมป์เฉกเช่นตน

การสร้างความแตกแยกในประเทศอิสลาม และให้ประชาชนสาละวนการแผนสมรู้ร่วมคิดซึ่งกันและกัน การปิดล้อมกาตาร์และเยเมน และการทำลายล้างซีเรีย ความเป็นปฏิปักษ์กับอิหร่านโดยปราศจากเหตุผล ทำให้ทรัมป์มีความอาจหาญเช่นนี้ เพราะเขามีความมั่นใจว่าบางประเทศอาหรับยังชอบอยู่ในความบันเทิง และความสนุกสนานมากกว่าการแสดงปฏิกิริยาตอบโต้กรณีเยรูซาเล็ม

http://iuvmpress.com/fa/24521