(ภาพ) มุมมองทางอากาศแสดงให้เห็นหอนาฬิกาและมัสยิดหลวงในเมืองมักกะฮ์
สถานที่ในเมืองมักกะฮ์ที่เป็นสถานที่ประสูติของศาสดา มุฮัมมัด ศ. กำลังจะถูก “ฝังใต้หินอ่อน” และถูกแทนที่ด้วยพระราชวังหลังใหญ่ งานนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการก่อสร้างหลายพันล้านปอนด์ในเมืองศักดิ์สิทธิ์ แห่งนี้ ซึ่งได้ส่งผลมีการทำลายอนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์ไปแล้วหลายร้อยแห่ง
โครงการดังกล่าว ซึ่งเริ่มต้นเมื่อหลายปีก่อน อ้าง เหตุผลว่ามีเป้าหมายเพื่อขยายมัสยิดอัล-ฮะรอม หรือมัสยิดหลวง เพื่อรองรับผู้แสวงบุญหลายล้านคนที่จะเดินทางมายังเมืองศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ในแต่ละปีเพื่อทำฮัจญ์ การแสวงบุญยังเมืองมักกะฮ์ที่มุสลิมทุกคนจะต้องปฏิบัติอย่างน้อยหนึ่งครั้ง
มักกะฮ์เป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในอิสลามเพราะว่า มีความเชื่อมโยงกับการประสูติของท่านศาสดา ศ. และยังเป็นที่ตั้งของอัลกะอฺบะฮ์ โดยมีมัสยิดหลวงถูกสร้างขึ้นล้อมรอบ และมุสลิมทั่วโลกไม่ว่าจะอยู่ส่วนใดของโลกก็จะกำหนดทิศในการผินหน้าไปหา เมื่อพวกเขาทำละหมาด
(ภาพ) ภาพมุมกว้างแสดงให้เห็นมัสยิดหลวงและอาคารกะอฺบะฮ์ศักดิ์สิทธิ์ในเมืองมักกะฮ์
หลายคนมองดูการทำลายอาคารและอนุสรณ์สถานทาง ประวัติศาสตร์หลายร้อยแห่งเพื่อใช้เป็นพื้นที่สำหรับการขยายมัสยิดหลวงด้วย ความตกตะลึง ตามข้อมูลจาก The Gulf Institute ในกรุงวอชิงตัน อาคารเก่าอายุนับพันปีในมักกะฮ์ถูกทำลายไปมากถึง 95 เปอร์เซ็นต์ เพื่อแทนที่ด้วยโรงแรมหรู อพาร์ทเมนท์ และศูนย์การค้า แม้ต่อมาจะทุบทิ้งแล้วขยายพื้นที่มัสยิดหลวงต่อไปอีก ซึ่งต่อเนื่องเช่นนี้มาตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา
ดร.อิรฺฟาน อาลาวี จากมูลนิธิศึกษาค้นคว้ามรดกอิสลามในสหราชอาณาจักร บอกกับหนังสือพิมพ์ The Independent ว่า สัปดาห์ที่แล้ว เสาหินออตโตมานอายุ 500 ปี ที่เป็นอนุสรณ์ระลึกถึงการขึ้นสู่ฟากฟ้าของท่านศาสดา ศ. ถูกทำลายไป
เขากล่าวว่า “บ้านแห่งการเมาลิด” ที่เชื่อกันว่าเป็นสถานที่ประสูติของท่านศาสดา ศ. เมื่อปี ค.ศ.570 น่าจะถูกทำลายก่อนสิ้นปีนี้
พระราชวังหลวงหลังใหม่จะถูกสร้างขึ้นเพื่อกษัตริย์ อับดุลลอฮ์ ผู้พิทักษ์มัสยิดอย่างเป็นทางการ เมื่อเขามาเยือนมักกะฮ์ แบบแปลนสำหรับอาคารหลังนี้ ซึ่ง The Independent ได้เห็นมา ครอบคลุมสถานที่ตั้ง “บ้านแห่งการเมาลิด” ซึ่งปัจจุบันนี้ถูกปิดไม่ให้ผู้แสวงบุญเข้าชม
แบบแปลนนี้ได้รับการตรวจสอบโดยแหล่งข่าวอิสระที่ให้ ข้อมูลเสริมว่า หลายคนที่วิจารณ์กระบวนการก่อสร้างนี้ไม่อยากจะพูดต่อสาธารณชนเนื่องจากกลัว จะถูกฝ่ายปกครองลงโทษ
ซาอุดิอารเบียถูกปกครองโดยหลักการอิสลามตามแนวทางวะ ฮาบีที่เข้มงวด ซึ่งห้ามไม่ให้เคารพสักการะต่อวัตถุหรือ “นักบุญ” ใดๆ เพราะเป็นการกระทำที่ถือว่า “ชิริก”(การตั้งภาคีร่วมกับพระเจ้า)
จากข้อมูลของสำนักข่าวภาษาอังกฤษ เพรส ทีวี ของอิหร่าน การทำลายสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ได้รับการปกป้องโดยมุฟตีใหญ่ของซาอุดิ อารเบีย เชคอับดุลอาซิซ บิน อับดุลลอฮ์ อัล-เชค
เขากล่าวว่า การรื้อถอนเป็นสิ่งที่จำเป็น และประชาชาติควรจะขอบคุณต่อรัฐบาลสำหรับงานนี้ ซึ่งเป็นการขยายพื้นที่เพื่อการรองรับให้แก่มัสยิดแห่งนี้
ห้องต่างๆ ของ “บ้านแห่งเมาลิด” อยู่ใต้พื้นดิน มาตั้งแต่ปี 1951 โดยมีการสร้างห้องสมุดไว้ด้านบนเพื่อสงวนรักษามันไว้ ปัจจุบันที่แห่งนี้ถูกปิดไม่ให้ผู้แสวงบุญเข้า มีป้ายติดบนตัวอาคารเตือนผู้แสวงบุญไม่ให้ทำละหมาด โดยอ้างว่า “ไม่มีหลักฐานว่าศาสดามุฮัมมัด ศ. ถือกำเนิดในสถานที่แห่งนี้ ดังนั้นจึงเป็นการต้องห้ามที่จะทำให้สถานที่นี้เป็นที่พิเศษสำหรับการละหมาด ขอพร หรือรับพร”
ดร.อาลาวี หนึ่งในไม่กี่คนที่แสดงการคัดค้านการรื้อทำลายนี้อย่างเปิดเผย กล่าวว่า ตำรวจศาสนายืนประจำการอยู่ด้านนอกห้องสมุดเพื่อขัดขวางการเคารพ “สถานที่ที่ท่านศาสดา ประสูติ ตกอยู่ในความน่าหวั่นกลัวอีกครั้งว่าจะถูกลืมเลือนอย่างถาวรอยู่ภายใต้ คอนกรีตและหินอ่อน” ดร.อาลาวีบอกต่อ The Independent
“ปัจจุบันเมื่อเสร็จสิ้นพิธีการฮัจญ์แล้ว การก่อสร้างตลอด 24 ชั่วโมงได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง พวกเขาได้ขยายด้านหนึ่งของมัสยิดเสร็จสิ้นแล้ว พระราชวังหลวง ซึ่งจะใหญ่กว่าพระราชวังหลวงปัจจุบันถึงห้าเท่า จะถูกสร้างขึ้นในด้านที่มีภูเขาเพื่อจะมองลงไปเห็นมัสยิด
“ระหว่างตอนนี้ถึงเดือนธันวาคม น่าจะมีการสร้างทับห้องสมุดและห้องต่างๆ ของ “บ้านแห่งเมาลิด” มันไม่อาจเลี่ยงได้ที่จะต้องเกิดขึ้น”
“มันจะเป็นประวัติศาสตร์ มันจะผ่านพ้นไป เราจะพูดว่า ‘เรามาขุดบ้านหลังนั้นและอนุรักษ์ห้องเหล่านี้ที่ยังอยู่ตรงนั้นกันเถิด’”
(ภาพ) มัสยิดอัล-นาบาวี
เมื่อเดือนกันยายน The Independent เปิดเผยว่า แม้แต่สุสานของท่านศาสดา ศ. ซึ่งอยู่ในเมืองมะดีนะฮ์ ในมัสยิดอัล-นาบาวี ก็ไม่ได้อยู่นอกเขตจำกัดสำหรับกลุ่มวาฮาบีที่เข้มงวด
บทความดังกล่าว ซึ่งเปิดเผยว่ามีการจัดทำเอกสารพิจารณาการรื้อสุสานนี้เป็นจำนวน 61 หน้า ทำให้เกิดการโวยวายขึ้นในตะวันออกกลาง และบีบให้ต้องมีการปฏิเสธออกมาจากเจ้าหน้าที่ของซาอุดี้ฯ ผู้ซึ่งก่อนหน้านี้ปฏิเสธที่จะกล่าวถึงงานก่อสร้างนั้น
รายละเอียดของแผนการดังกล่าว ซึ่งได้มาโดย ดร.อาลี บิน อับดุลอาซิซ อัล-ชาบาล จากมหาวิทยาลัยอิสลามอิหม่ามมุฮัมมัด อิบนฺ ซาอูด ในริยาด ถูกแจกไปยังคณะกรรมการฝ่ายปกครองของมัสยิดทั้งสองแห่ง เอกสารการพิจารณาดังกล่าวหลายแผ่นถูกนำไปตีพิมพ์ในวารสารของฝ่ายปกครอง มัสยิดด้วย
ในแถลงการณ์ฉบับหนึ่งก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ทางการได้กล่าวว่า “การพัฒนามัสยิดศักดิ์สิทธิ์แห่งกะอฺบะฮ์ อัล-มุกัรรอมะฮ์เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง และเป็นเรื่องซึ่งราชอาณาจักรซาอุดิอารเบีย ในฐานะที่เป็นผู้พิทักษ์มัสยิดศักดิ์สิทธิ์ทั้งสอง มีความเอาจริงเอาจังอย่างถึงที่สุด บทบาทนี้เป็นหัวใจสำคัญของหลักการที่ทำให้ซาอุดิอารเบียได้ถูกก่อตั้งขึ้น
แปล/เรียบเรียง กองบก.เอบีนิวส์ทูเดย์
ที่มา http://en.alalam.ir/news/1648509