10 หลักฐานสำคัญ!! บ่งชี้ความสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่าง “สหรัฐฯ” กับ “ไอซิส”

กลุ่มก่อการร้ายหัวรุนแรงต่างๆที่เป็นปัญหาของโลกนี้ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นISIS ญับฮะตุลนุศเราะหฺ กลุ่มต่อต้านรัฐบาลซีเรีย คือ รายชื่อเหล่าอาชญากรสงครามที่เป็นอันตรายยวดยิ่งในยุคสมัยนี้ การกระทำอันโหดร้ายของพวกเขาได้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาชาวโลก และเป็นการก่อการร้ายครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยปรากฏ

กลุ่มหัวรุนแรงเหล่านี้มิใช่โจรไร้ซ่อง พวกเขาครอบครองอาวุธยุทโธปกรณ์สงครามอันล้ำสมัย และใช้มันก่อเหตุร้ายตามสถานที่ต่างๆ แน่นอนว่าต้องมี ผู้ทรงอิทธิพล หนุนอยู่เบื้องหลัง ทำการจัดสรรงบประมาณ และอาวุธสงครามให้แก่พวกเขาเหล่านี้อย่างเป็นขบวนการ แม้ว่าโดยผิวเผินแล้ว สหรัฐฯและมหาอำนาจตะวันตกจะไม่ได้ยอมรับถึงความสัมพันธ์ที่ชัดเจนระหว่างพวกเขาและกลุ่มก่อการร้าย มิหนำซ้ำยังออกโรงต่อต้านการกระทำของ ISIS อย่างแข็งขันจากภาพภายนอก ทว่าความเป็นจริง สหรัฐฯกับกลุ่มก่อการร้ายเหล่านี้กลับมีบางสิ่งที่เชื่อมโยงกันอยู่อย่างลับๆ แน่นอนว่าจะต้องมีคำถามเกิดขึ้นว่ามีการเชื่อมโยงอย่างไร? พวกเขามีความสัมพันธ์กันอย่างไร ? เป็นไปได้หรือไม่ ที่จะหาหลักฐานเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของทั้งสอง ?

ไม่น่าแปลกใจ หากจะมีหลักฐานที่เราจะสามารถนำมาอ้างอิงและชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ รวมไปถึงสาเหตุเบื้องหลังมัน ในการที่จะเปิดเผยถึงธาตุแท้และกระชากหน้ากากของพวกเขาออกมา เฉกเช่นที่เราจะขอหยิบยกมาชี้แจง ดังต่อไปนี้

1.แรนด์ พอล สมาชิกวุฒิสภาพรรครีพับลิกันของสหรัฐฯ ได้เผยถึงนโยบายเกี่ยวกับ การที่สหรัฐฯได้เข้าไปแทรกแซงประเทศซีเรีย ซึ่งกำลังผจญกับภาวะวิกฤต การกระทำดังกล่าวของรัฐบาลสหรัฐฯส่งผลให้มีการสร้างที่หลบภัยแก่บรรดาผู้ก่อการร้ายจากทั่วโลก และก่อให้เกิดความวุ่นวายทางภาคเหนือของอิรัก เขาคือส่วนหนึ่งที่ทำให้ ISIS แข็งแกร่ง โดยได้ขายอาวุธสงครามให้กับกลุ่ม ISIS ในราคาที่ถูก เขากล่าวว่า “กลุ่มISISคือพันธมิตรของพวกเรา เราจะผลักดันให้กลุ่ม ISIS มีอานุภาพมากขึ้นจากการสนับสนุนทางอาวุธอย่างมากมายให้แก่พวกเขา และจะให้ที่พักพิงที่ปลอดภัยแก่ ISIS”

2.มีการเปิดเผยข้อมูลลับโดย เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน อดีตสมาชิกหน่วยข่าวกรองความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ซึ่งเขาได้กล่าวว่า “หน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ อังกฤษ และอิสราเอล มีส่วนร่วมในการสร้างกองกำลัง ISIS” สโนว์เดนได้อ้างอิงจากข้อมูลเอกสารลับที่รั่วไหลว่า “องค์กรต่างๆของสหรัฐฯ อังกฤษและอิสราเอลได้สร้างกลุ่ม ISIS ขึ้นมา เพื่อสนับสนุนระบอบไซออนิสม์ และได้สร้างกลุ่ม ISIS โดยใช้สโลแกนอิสลามบังหน้า ใช้แนวคิดตักฟีรีย์ (ใครคิดต่างคือศัตรู) ซึ่งเป็นแนวคิดอันสุดโต่งให้เป็นที่สนใจจากทั่วโลก และการมีอยู่ของ ISIS ยังบ่งชี้ถึงการมีอยู่ของระบอบไซออนิสม์เช่นกัน”

3.ปรากฏหลักฐานที่มาจากเอกสารระบุข้อมูลในการขนส่งอาวุธสงครามไปยังซีเรีย เป็นข้อมูลที่ได้มาจากกลุ่มก่อการร้ายในซีเรีย โดยมีการเปิดโปงว่า กองกำลังกบฏได้รับสินค้าอาวุธสงครามจากบริษัทขนส่งของสหรัฐฯ (FBO) ต่อมาเอกสารเหล่านี้ได้ถูกตีพิมพ์ หลักฐานที่ถูกปล่อยออกมานี้บ่งชี้ว่า มีการขนส่งอาวุธสงคราม เช่น ระเบิดและอื่นๆ จากยุโรป และส่งต่อไปยังท่าเรือจอร์แดน เอกสารยังอ้างว่า หน่วยจู่โจมพิเศษของสหรัฐฯ (หน่วยซีล) ยังได้ถูกส่งมาในซีเรียด้วยเช่นกัน โดยเอกสารดังกล่าว ถูกเปิดเผยครั้งแรกในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2015 โดยอ้างอิงจากผู้รับเหมาของสหรัฐฯ ที่ได้ขนส่งสัมภาระบรรจุอาวุธกับวัตถุระเบิดมาจากประเทศโรมาเนีย และส่งตรงไปยังท่าเรือจอร์แดน

4.อดีตนักการทูตของสหรัฐฯ ไมเคิล สปริงแมนน์ ในสมัยที่เขาดำรงตำแหน่งนักการทูต ได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่ง ในช่วงสุดท้ายของการทำงานในศูนย์วิจัยของกระทรวงต่างประเทศ เกี่ยวกับการปฏิบัติภารกิจลับของสหรัฐฯพร้อมกับพันธมิตรในตะวันออกกลาง อันนำไปสู่การจัดตั้งกลุ่มก่อการร้าย ซึ่งไมเคิล สปริงแมนน์ ได้เขียนหนังสือเล่มนี้อย่างลับๆ ตั้งแต่สมัยสงครามเย็น จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังเขียนเรื่องราวเปิดโปงภารกิจลับของสหรัฐฯอยู่อย่างต่อเนื่อง

5.ไมเคิล ฟลินน์ อดีตหัวหน้าของสำนักข่าวกรองกลาโหมเพนตากอน ได้ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ อัล จาซีรา โดยเขาได้กล่าวว่า “การเติบโตของISISและการคงอยู่ของกบฏซีเรียและอัลกออิดะห์มีผลมาจากการสนับสนุนของสหรัฐฯ ”

6.เว็ปไซต์ของหน่วยสืบราชการลับ ได้เขียนรายงานเกี่ยวกับเอกสารลับที่รั่วไหลของรัฐบาลอเมริกา ซึ่งมีต้นตอจากบริษัทกฎหมาย Judicial watch โดยเนื้อหาในเอกสารลับนี้ เกี่ยวข้องกับการที่ตัวแทนรัฐบาลสหรัฐฯได้ส่งสาส์นแจ้งไปยังรัฐบาลต่างๆของตะวันตกและตะวันออกกลางให้ร่วมมือกับกลุ่มก่อการร้าย อัลกออิดะห์และกลุ่มหัวรุนแรงอื่นๆ ด้วยจุดประสงค์เพื่อโค่นล้มรัฐบาลซีเรียของ บะชัร อัล อัสซาด เนื้อหาที่ปรากฏอยู่ในเอกสารฉบับนี้ ชี้ให้เห็นว่า บางประเทศในตะวันออกกลางและตุรกี มีเจตนาร่วมมือกับรัฐบาลสหรัฐฯและตะวันตกอย่างจงใจ ในความต้องการโค่นล้มรัฐบาลซีเรียให้ปราศจากอำนาจในการบริหารประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการสนับสนุนและส่งเสริมกลุ่มก่อการร้ายหัวรุนแรงต่างๆ อาทิเช่น ISIS และกบฏซีเรียหัวรุนแรง ให้ก่อการกบฏและแยกระบอบการปกครองออกจากรัฐบาลซีเรีย ในความหวังเพื่อทำลายความมั่นคงและจัดตั้งรัฐบาลสะละฟีย์หัวรุนแรงขึ้นมาแทนที่

7.โดนัลด์ ทรัมพ์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้กล่าวหารัฐบาลโอบาม่า อดีตประธานาธิบดีฯ ว่า เคยเป็นผู้สนับสนุนกลุ่มสะละฟีย์หัวรุนแรงซึ่งต่อมาได้พัฒนากลายเป็นกลุ่มก่อการร้าย ISIS และทรัมพ์ยังได้กล่าวอีกว่า “ฮิลลารี คลินตัน คือหนึ่งในผู้สนับสนุนและก่อตั้งกลุ่ม ISIS” ไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯคนปัจจุบัน ยังได้ออกแถลงการณ์อีกว่า “นโยบายของโอบาม่าและคลินตันนำไปสู่การสร้างรัฐสะละฟีย์หัวรุนแรงและ ISIS ในที่สุด”

8.หลังจากที่กองทัพของสหรัฐฯได้เข้าจู่โจมและเข้ามาแทรกแซงซีเรีย มาเรีย ซาคาโรวา โฆษกกระทรวงต่างประเทศรัสเซีย ได้ให้สัมภาษณ์กับช่องโทรทัศณ์ “รัสเซีย 24” โดยได้ให้สัมภาษณ์ว่า “ก่อนหน้านี้เรามีข้อสงสัยว่า ญับฮะตุล นุศเราะห์ ซึ่งเป็นกลุ่มหัวรุนแรง มีผู้อยู่เบื้องหลังที่คอยสนับสนุนอยู่ ซึ่งในตอนนี้ เราได้ข้อสรุปอันน่ากลัวมาแล้ว และมันกำลังเกิดขึ้น จากเหตุการณ์ที่ซีเรียถูกถล่มทางอากาศ นั่นคือ ทำเนียบขาวกำลังสนับสนุนกลุ่ม ISIS หัวรุนแรง” ต่อมา วลาดิเมียร์ เซฟเชงโก หัวหน้าของกลุ่มประนีประนอมรัสเซีย ได้ประกาศว่า “หลังจากที่ซีเรียได้ถูกโจมตีทางอากาศแล้ว กลุ่ม ISIS จึงได้ปฏิบัติการบุกโจมตีในบริเวณที่ถูกโจมตีทางอากาศอย่างฉับพลัน”

9.ริชาร์ด เฮเดน แบล็ก สมาชิกวุฒิสภาพรรครีพับลิกันประจำรัฐเวอร์จิเนีย ได้อ้างหลักฐานจากหน่วยวิจัยข่าวกรองของกลาโหมสหรัฐฯ อันเป็นเนื้อหาแสดงความสัมพันธ์ระหว่างวอชิงตันและกลุ่มหัวรุนแรงตักฟีรี ว่า “รัฐบาลสหรัฐฯและกลุ่มตักฟีรีมีความเป็นหนึ่งเดียวกัน กองทัพสหรัฐฯและกลุ่มISIS มีการร่วมมือกัน”  จากข้อมูลที่มี นายเฮเดน แปล็ก ได้ชี้ให้เห็นถึง การที่หน่วยข่าวกรองกลางของสหรัฐฯ (CIA) ได้ทำการจัดการขนส่งอาวุธให้กับฝ่ายตรงข้าม ด้วยการถ่ายโอนอาวุธจากลิเบียไปยังตุรกีและส่งต่อไปยังซีเรีย เฮเดน แบล็ก ได้กล่าวต่อว่า “แผนปฏิบัติการอันนี้ คือ การจัดสรรหาอาวุธให้กับกลุ่มก่อการร้ายติดอาวุธต่างๆ โดยเฉพาะกับกลุ่มสะละฟีย์หัวรุนแรง อัลกออิดะห์และ ISIS ซึ่งมันเป็นปฏิบัติการอย่างเป็นทางการของรัฐบาลสหรัฐฯ ในขณะที่สหรัฐฯพยายามไม่ให้คำตอบถึงการกระทำของตน เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้ถูกตำหนิจากประชาคมโลก เพราะการกระทำเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ผิดกฏหมายอย่างชัดเจน”

10.แดเนียล แมคอดัมส์ ประธานสถาบันสันติภาพRon Paul ของสหรัฐฯ ได้กล่าวในรายการสัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ว่า “ยุทธวิธีในการดำเนินงานของสหรัฐฯ มีส่วนช่วยให้ISIS เจริญเติบโตขึ้น ด้วยความต้องการทำลายเสถียรภาพทางการเมืองของซีเรีย ดังนี้สหรัฐฯจึงได้ส่งเสริมให้ ISIS แข็งแกร่งขึ้น เพราะสหรัฐฯต้องการโค่นล้ม บัชชารฺ  อัล  อัซซาด ผู้นำของซีเรีย”

หลักฐานที่ได้นำเสนอไปข้างต้น คือ คำถามและคำตอบ ซึ่งเป็นที่รู้กันไปทั่วในภูมิภาคตะวันออกกลางหรือเอเชียตะวันตก อันเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มก่อการร้าย ISIS และรัฐบาลสหรัฐฯ แม้ว่าโดยภาพนอก สหรัฐฯจะแสดงท่าทีต่อต้านและพยายาม สร้างสำนวนและภาพลักษณ์ของตนในทำนองที่ว่า “ต้องการหาทางกำจัดกลุ่มก่อการร้ายหัวรุนแรงเหล่านี้” ทว่าความเป็นจริง รัฐบาลสหรัฐฯกลับใช้ความพยายามมาโดยตลอด ในการรักษาและปกป้องกลุ่มก่อการร้าย เช่น ISIS อยู่อย่างลับๆ เหล่านี้เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนในปัจจุบัน และในภายภาคหน้า สหรัฐฯพยายามอ้างเสมอว่า ตนไร้ความสามารถในการเอาชนะกลุ่มหัวรุนแรงเหล่านี้ ไม่ว่า ในเมืองโมซุล ของอิรัก หรือในซีเรีย ดังนั้น การกระทำดังกล่าว อย่างเช่น ข้ออ้างที่ไม่สามารถเอาชนะกลุ่มก่อการร้าย หรือการสร้างภาพลักษณ์ว่ารัฐบาลสหรัฐฯได้ต่อต้านกลุ่มก่อการร้ายนั้น เป็นเพียงแค่ภาพลวงตา และการสร้างให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดูดีต่อประชาคมโลกเท่านั้น และเพื่อให้การกระทำต่างๆแลดูสอดคล้องกับหลักประชาธิปไตย และนโยบายสิทธิมนุษย์ชนที่สหรัฐฯมักจะใช้อ้างถึงอยู่บ่อยครั้ง ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้ว สหรัฐฯและ ISIS กลับมีความสัมพันธ์อย่างแนบแน่นและอย่างลับๆ มีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ และทั้งสองฝ่ายต่างก็ได้ให้การสนับสนุนซึ่งกันและกัน  ดังเช่นเหตุผลและหลักฐานบางประการที่ได้ชี้งแจงแล้วนั่นเอง