farsnews – การทำรัฐประหาร (15 ก.ค.) ที่ผ่านมาที่เกิดขึ้นในตุรกีนั้น บ่งชี้ว่าตลอดระยะเวลาห้าทศวรรษที่ผ่านมาได้เกิดการรัฐประหารมาแล้ว 5 ครั้ง นั้นหมายความว่า ทุกหนึ่งทศวรรษจะเกิดรัฐประหารหนึ่งครั้ง
“มุสตาฟา เคมาล อตาเติร์ก” ได้ประกาศสถาปนาตุรกียุคใหม่ในเดือนตุลาคม 1923 และเลือกให้กรุงอังการาเป็นเมืองหลวง ในขณะที่อิสตันบูลเคยเป็นเมืองหลวงมาก่อนในช่วงระยะเวลาของการปกครองของออตโตมัน
อตาเติร์ก ( Atatürk)ได้เริ่มต้นการปกครองในตุรกีด้วยการยึดระบบเซคคิวลาร์ (secularism) มีการออกคำสั่งห้ามสวมใส่เสื้อผ้าแบบดั้งเดิม สั่งปิดโรงเรียนสอนศาสนา ยกเลิกศาลอิสลาม และยังไม่อนุญาตให้ใช้ตัวอักษรภาษาอาหรับและให้ใช้อักษรละตินแทน
รัฐประหาร 27 พฤษภาคม 1960
ตุรกีในช่วงที่ห้าทศวรรษที่ผ่านมาได้เกิดการรัฐประหารหลายต่อหลายครั้ง
ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 1960 โดยที่รัฐบาลที่ได้รับการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยถูกโค่นล้มด้วยการถูกรัฐประหาร
38 นายพล ภายใต้การนำของนายพล “Cemal Gürsel” พยายามที่จะยึดอำนาจในประเทศ ในวันนั้นบรรดาผู้ก่อรัฐประหารได้ขับไล่บรรดานายพล 235 คน และนายทหารอีก 5000 คน พ้นออกจากตำแหน่ง และ กิจกรรมความเคลื่อนไหวของพรรคประชาธิปัตย์ก็ถูกสั่งให้ยุติ
Adnan Menderes นายกรัฐมนตรีตุรกี “Jalal Bayar” ประธานาธิบดีตุรกีพร้อมคณะรัฐมนตรีจำนวนหนึ่งถูกจับกุมและถูกขังอยู่บนเกาะ “ยะซอ อะดาย์”
หลังจากรัฐประหาร ทำการพิจารณาคดี อดีตข้าราชการจำนวน 15 คน รวมทั้ง Adnan Menderes นายกรัฐมนตรีตุรกี และได้ถูกพิพากษาในข้อหาก่อกบฏและทรยศต่อหลักการของ(ลัทธิเคมาล ) Kemalism ด้วยการลงโทษแขวนคอประหารชีวิต
หลังรัฐประหารในครั้งนี้ ก็เกิดรัฐประหารโดยทหารขึ้นอีกสามครั้ง และได้ก่อให้เกิดผลกระทบทางการเมืองและเศรษฐกิจต่อตุรกีอย่างรุนแรง
การรัฐประหารในปี 1960 เป็นการฟื้นอำนาจลัทธิเคมาลขึ้นมาโดยสามารถเข้ามาเป็นรัฐบาลได้ระหว่างปี
1961-1965 แต่หลังจากนั้นพรรคยุติธรรม (Justice Party ภาษาตุรกีว่า Adalet Partisi – AP) ก็ได้ขึ้นมาเป็นรัฐบาลแทนในปี 1965 ซึ่งทำให้กลุ่มมุสลิมตุรกีได้เคลื่อนไหวทางการเมืองและเติบโตต่อ
การทำรัฐประหาร 12 มีนาคม 1971
การทำรัฐประหารในตุรกีครั้งที่สอง เกิดขึ้นเมื่อ 12 มีนาคม 1971
การทำรัฐประหารครั้งนี้เกิดขึ้นในท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรงระหว่างตุรกีและกรีซในประเด็นหมู่เกาะไซปรัสและเป็นการต่อต้านรัฐบาลขวาจัดของ “Süleyman Demirel”
การทำรัฐประหารนี้ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและความสูญเสียใดๆเกิดขึ้นเหมือนกับครั้งแรก จะมีเพียงแค่แกนนำของขบวนการนักศึกษาบางส่วนที่ถูกจับในข้อหาละเมิดรัฐธรรมนูญ
มีนาคม ปี 1971 ทหารก่อรัฐประหารอีกครั้ง สมาชิกของพรรคสาธารณรัฐตุรกีหรือ CHP ที่มีแนวคิดลัทธิเคมาลก็ได้ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีรัฐบาลแห่งชาติจนถึงปี 1972 ระหว่างปี 1973-1980 มีการเลือกตั้งทั่วไปหลายครั้ง พรรคฝ่ายอิสลามกับพรรค CHP ก็สลับกันเป็นรัฐบาล
12 กันยายน 1980
การรัฐประหารที่รุนแรงที่สุดในตุรกีเริ่มขึ้นในเวลา 03:00 เที่ยงคืนของวันที่ 12 กันยายน 1980
ในเวลา 05: 30 กันอาน Evren ประธานเสนาธิการทหารร่วม มีคำสั่งให้ “Süleyman Demirel” (นายกรัฐมนตรี) “Bulent Ecevit” (หัวหน้าพรรครีพับลิกัน) “Necmettin Erbakan” (หัวหน้าพรรคสวัสัดิการแห่งชาติ) ประกาศคำสั่งดังนี้ “รัฐบาลของพวกท่านถูกยกเลิก บรรดาสมาชิกสภาพ้นสมาชิกภาพการเป็นสมาชิกสภา พวกท่านจงปฏิบัติตามคำสั่งที่ถูกประกาศดังกล่าว ”
การรัฐประหารครั้งนี้เป็นรัฐประหารที่นองเลือดที่สุดในประวัติศาสตร์ของตุรกี จากนั้น Evren ก็ขึ้นเป็นประธานาธิบดีตุรกีอย่างเป็นทางการ และปกครองจนถึง 1989 และแล้วในปี2014 เขาถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต
การทำรัฐประหาร 28 กุมภาพันธ์ 1997
การทำรัฐประหารครั้งนี้เรียกว่า “การทำรัฐประหารสีขาว” เป็นการต่อต้านรัฐบาลของ “Necmettin Erbakan” กองทัพตุรกีได้กดดันรัฐบาล Erbakan ทำให้เขาจำต้องลาออก จากนั้นพรรค “สวัสดิการ” สามารถยึดอำนาจปกครองจนถึงปี 1995
15 กรกฎาคม 2016
การทำรัฐประหารครั้งล่าสุด เกิดขึ้นเมื่อคืนวันที่ 15 กรกฎาคม
ทหารตุรกีกรีฑาทัพบุกเมืองแบบสายฟ้าแลบ และอ้างว่ายึดอำนาจได้สำเร็จในวันศุกร์(15ก.ค.) ท่ามกลางสถานการณ์วุ่นวายอ่อนไหว สนามบินถูกปิด สื่อออนไลน์ถูกตัด เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว
สนามบินต่างๆถูกปิด การเข้าถึงสื่อสังคมออนไลน์ถูกตัดขาด และทหารปิดกั้นสะพาน 2 แห่งเหนือช่องแคบบอสฟอรัสในอิสตันบูล
สถานีโทรทัศน์แห่งรัฐทีอาร์ที แถลงคำประกาศเคอร์ฟิวทั่วประเทศ โดยผู้ประกาศรายหนึ่งอ่านคำสั่งของทหารที่กล่าวหารัฐบาลกัดเซาะประชาธิปไตยและหลักนิติธรรม พร้อมระบุว่าประะเทศจะถูกบริหารโดย “สภาสันติภาพ” ที่จะรับประกันความปลอดภัยของประชาชน อย่างไรก็ตามไม่นานจากนั้นสถานีโทรทัศน์แห่งนี้ก็จอดับไป
แต่เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากการทำรัฐประหารล้มเหลว ซึ่งในเหตุการณ์ครั้งนี้มี 160 คนถูกฆ่าตาย และ 1,440 คนได้รับบาดเจ็บและ 2,839 คนถูกจับกุม