มีความเป็นไปได้ที่จะมีการเปิดเผยเอกสารลับจำนวนยี่สิบแปดหน้าเกี่ยวกับบทบาทของซาอุดีอาระเบียในการโจมตี 11 กันยายน ซึ่งจะกลายเป็นปมวิกฤตทางการทูตระหว่างอเมริกาและซาอุดีอาระเบีย
สภาคองเกรสอเมริกากำลังพิจารณากฎหมายในการสนับสนุนครอบครัวของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อเหตุการณ์ 11 กันยา 2001
หากแผนดังกล่าวได้รับการอนุมัติ ครอบครัวผู้เสียชีวิตสามารถฟ้องร้องซาอุดิอาระเบียได้ในทันทีเพราะเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายอัลกออิดะห์ที่โจมตีกรุงนิวยอร์กและวอชิงตัน
ในการโจมตี 11 กันยา มีผู้เสียชีวิตประมาณสามพันกว่าคน และได้รับบาดเจ็บ 6,000 กว่าคน เจ้าหน้าที่สหรัฐเชื่อว่าผู้ก่อการร้ายอัลกออิดะห์เป็นผู้รับผิดชอบในการโจมตีครั้งนี้
ประเด็นการผ่านร่างและอนุมัติกฎหมายดังกล่าวในสภาคองเกรสอเมริกานั้นตกอยู่ใต้ร่มเงาแห่งความสัมพันธ์ที่หนักอึ้งระหว่างอเมริกากับซาอุดิอาระเบียในฐานะเป็นหนึ่งในพันธมิตรที่สำคัญที่สุดในตะวันออกกลางและเป็นการเผชิญกับภัยคุกคามที่จะตามมา และหากมีการอนุมัติกฎหมายดังกล่าวจริง จะต้องมีการขายทรัพย์สินของอเมริกาที่มีมูลค่า 7.5 แสนล้านดอลลาร์
รายงาย 28 หน้าที่ถูกเรียบเรียงโดยสภาคองเกรสอเมริกาเกี่ยวกับบทบาทของซาอุดีอาระเบียในการโจมตี 11 กันยา นั้น เป็น “การค้นพบ การพิจารณา และการอ้างอิงในประเด็นปัญหาเชิงรายงานที่มีความละเอียดอ่อน” ซึ่งยังไม่เคยถูกตีพิมพ์มาก่อน
จอร์จ บุช อดีตประธานาธิบดีของอเมริกาอ้างว่าการเปิดเผยและตีพิมพ์ส่วนหนึ่งของเอกสารายงานชิ้นนี้ของสภาคองเกรสจะก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อความมั่นคงและความปลอดภัยแห่งชาติของอเมริกา บุชยังกล่าวเสริมว่า “การเปิดเผยแหล่งที่มาและวิธีการทำสงครามต่อต้านการก่อการร้าย” นั้นจะเป็นเรื่องลำบากมากยิ่งขึ้นสำหรับอเมริกา
แต่ล่าสุดเกิดกระแสแรงมากในแวดวงการเมืองเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการเปิดเผยข้อมูลของเอกสารและความพยายามของซาอุดีอาระเบียที่จะปกปิดบทบาทของตนที่ถูกกล่าวหา
หนังสือพิมพ์อังกฤษ Independent ตีพิมพ์โดยรายงานการวิเคราะห์หนึ่งในความต้องการสำหรับการเปิดเผยเอกสารดังกล่าว และชี้ถึงการเรียกร้องของรูดี้ จูลีอานี (Rudy Giuliani) อดีตนายกเทศมนตรีนิวยอร์กในช่วงเวลาที่เกิดเหตุ
เสนอสินบน 10 ล้านดอลลาร์
ตามคำกล่าวของ รูดี้ จูลีอานี (Rudy Giuliani) เผยว่า เจ้าชายองค์หนึ่งของซาอุดีอาระเบียได้มอบเช็ก 10 ล้านดอลลาร์ให้กับเขาเพื่อหันเหความสนใจในบทบาทของการโจมตี 11 กันยายน ซึ่งเธอได้ฉีกและส่งคืนให้กับเจ้าชายซาอุดิอาระเบีย
รูดี้ จูลีอานี กล่าวว่า “เขา (เจ้าชายซาอุดิอาระเบีย) สามารถที่จะเก็บรักษาเงินนั้นไว้และเผามันในไฟนรก ประชาชนชาวอเมริกาควรรู้ว่ารัฐบาลซาอุดีอาระเบียมีบทบาทในการโจมตีครั้งนี้อย่างไร เรามีสิทธิที่จะรู้ว่าใครเป็นคนฆ่าคนที่รักของเรา”
ตามที่รายงานได้ตีพิมพ์เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (24 เมษายน) ในการประชุมลับของเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวได้มีการเปิดเผยส่วนหนึ่งของเอกสารรายงาน 28 หน้าที่เกี่ยวกับซาอุดิอาระเบีย
อีกด้านหนึ่ง บ๊อบ เกรแฮม อดีตสมาชิกวุฒิสภาเดโมเครตและอดีตประธานคณะกรรมการวุฒิสภาด้านข้อมูลของอเมริกา ได้ออกมาย้ำอีกครั้งเกี่ยวกับบทบาทของ “พรีเมียร์” ซาอุดิอาระเบียในเหตุการณ์ 11 กันยา
เขากล่าวว่า “สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ยังไม่ได้รับคำตอบเกี่ยวกับเหตุการณ์ 11 กันยายน คือ ผู้ก่อเหตุ 19 คน (ผู้บุกรุก) ได้ลงมือปฏิบัติการแผนการโจมตีที่สลับซับซ้อนเองหรือมีผู้ที่คอยให้การสนับสนุนพวกเขา ? (ถ้าพวกเขาได้รับการสนับสนุน) แล้วใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการสนับสนุนครั้งนี้ (ที่มีความเป็นไปได้สูง) ? ผมคิดว่าหลักฐานทั้งหมดชี้ไปยังประเทศซาอุดีอาระเบีย และผมคิดว่าในประเด็นนี้มีหลายชนชั้นที่มีส่วนร่วม เริ่มจากตัวบุคคล ที่เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงแห่งราชสำนักซาอุดิอาระเบียจนถึงเจ้าหน้าที่เอกชน ”
ดูเหมือนว่าเหตุผลที่สำคัญในการเรียกร้องของสองพรรคหลักของอเมริกาในการเปิดเผยเอกสารลับ เพราะสมาชิกวุฒิสภาสองคนได้ยืนยันในการเห็นเอกสารลับฉบับนี้
สตีเฟ่นลินช์ ตัวแทนพรรคเดโมเครด รัฐแมสซาชูเซตเชื่อว่ารายงานชิ้นนี้เป็นหลักฐานที่จะแสดงให้เห็นการเชื่อมโยงระหว่าง “บุคคลเฉพาะของซาอุดิอาระเบีย” กับผู้ก่อการร้าย 11 กันยา
วอลเตอร์โจนส์ ตัวแทนพรรครีพับลิกันในรัฐสภาประกาศว่า ข้อมูลที่อยู่ในเอกสารนี้สามารถเข้าใจว่าทำไมบุชจึงคัดค้านในการเปิดเผยเอกสารลับฉบับนี้ เขากล่าวว่า เนื่องจาก “ความสัมพันธ์ของรัฐบาลบุชกับซาอุดิอาระเบีย”
การกล่าวอ้างว่าซาอุดิอาระเบียเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ 11 กันยา ถูกจุดประเด็นขึ้นมาหลังจากที่มีการกล่าวหาซาอุดิอาระเบียให้การสนับสนุนทางการเงินอย่างต่อเนื่องให้กับกลุ่มหัวรุนแรงสุดโต่งและได้รับการสนับสนุนและการส่งเสริมจากตะวันตก และในขณะนี้ซาอุดิอาระเบียกำลังตกเป็นจำเลยและถูกกล่าวหาในการสนับสนุนการเงินและจัดส่งอาวุธให้กับกลุ่มหัวรุนแรงสุดโต่งที่กำลังต่อสู้กับรัฐบาลของบัชชาร์ อัสซาดแห่งซีเรีย
การส่งเสริมแนวคิดและอุดมการณ์ของวะฮาบี (Wahhabism) ในซาอุดิอาระเบียมีรากเหง้าในปี 1992 มุฟตีอาวุโสแห่งลัทธิวะฮาบี (ผู้วินิจฉัยระดับสูงแห่งราชสำนักของซาอุ) ในสมัยนั้นได้ส่งจดหมายอย่างไม่เป็นทางการไปยังเจ้าหน้าที่ซาอุดีอาระเบีย และเรียกร้องให้มีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายภายในประเทศและต่างประเทศของซาอุดีอาระเบีย และข่มขู่ด้วยว่าถ้ามันไม่ประสบความสำเร็จในกรณีดังกล่าวจะทำการล้มล้างและโค่นล้มกษัตริย์ซาอุดีอาระเบีย
พระราชวงศ์ซาอุดีอาระเบียไม่อาจต้านทานและต่อต้านการเรียกร้องดังกล่าวและด้วยเหตุผลอันนี้จึงเข้าไปสร้างฐานอำนาจของลัทธิวะฮาบีและมีอิทธิพลควบคุมกระทรวงกิจการศาสนาในซาอุดิอาระเบีย จากนั้นก็ได้ส่งตัวแทนไปยังสถานทูตและสถานกงสุลของซาอุดีอาระเบีย
อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปฏิบัติการก่อเหตุโจมตี 11 กันยา กับเจ้าหน้าที่ของกระทรวงเป็นข้อกล่าวหาสำคัญและกุญแจสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วมของซาอุดีอาระเบียในการโจมตี 11 กันยา
“เอกสาร 17”
ในขณะที่สินบนของเจ้าชายซาอุดีอาระเบีย ถูกเปิดเผยโดยรูดี้ จูลีอานี หลังจากเหตุการณ์ผ่านไปแค่หนึ่งวัน ว่า มีการค้นพลใบอนุญาตของนักบินที่เป็นสมาชิกของกลุ่มผู้ก่อการร้ายอัลกออิดะห์ ชื่อว่า กัสซาน อัลชาระวี (Ghassan El Shaarawy) ซึ่งถูกฝึกอบรมเป็นนักบินเพื่อปฏิบัติการโจมตีเหตุการณ์ 11 กันยา ในซองปิดผนึก ณ สถานทูตซาอุดีอาระเบียในกรุงวอชิงตัน
ใบรับรองนี้ค้นพบพร้อมกับเอกสารอื่น ๆ หลังจากการจับกุมผู้ก่อการร้ายผู้ผลิตระเบิดในปากีสถานเมื่อปี 2002 อัลชาระวี ไม่ได้มีส่วนร่วมในการโจมตี 11 กันยา หลังจากถูกจับกุมตัวแล้วถูกย้ายไปคุมขังในคุกกวานโตนาโม
รายงานอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการค้นพบใบรับรองดังกล่าวถูกเรียกว่า “เอกสาร 17” และมีการเขียนขึ้นมาในปี 2003 ซึ่งในปีที่ผ่านมาเพิ่มถูกเปิดเผย แต่ไม่ได้มีการเปิดเผยให้กับสาธารณชนรับรู้ แต่สัปดาห์ที่ผ่านมาได้มี บล็อกเกอร์ (Blogger) เผยแพร่เอกสารนี้และสามารถดึงความสนใจของประชาชนในการติดตามเอกสารลับฉบับนี้
นอกเหนือไปจากประเด็นดังกล่าวนี้แล้ว ยังมีการเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างสถานทูตซาอุดีอาระเบียในอเมริกากับชาวซาอุดีอาระเบียสองคน ชื่อว่า คาลิด อัลมิดหาร์ (Khalid al-Mihdhar) และ นะวาฟ อัลฮามัด (Nawaf al-Hamad) ซึ่งทั้งสองถูกจัดอยู่ในกลุ่มแรกที่ทำการชี้เครื่องบินในเหตุการณ์ 11 กันยา และได้เข้าประเทศอเมริกาเมื่อปี 2000
อุมัร อัลบุยูมีย์ ชาวซาอุดิอาระเบียได้นำพาชายทั้งสองไปพักที่พาร์ทเมนท์ในเมืองซานดิเอโกในรัฐแคลิฟอร์เนียอเมริกา และช่วยเหลือพวกเขาในด้านการสื่อสารที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความปลอดภัยทางสังคมและข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรฝึกอบรมการบิน
ตามบางรายงานเผยว่า อุมัร อัลบุยูมีย์ ได้แนะนำชายทั้งสองให้กับอันวารื อัลเอาลากี (Anwar al-Awlaki) ซึ่งต่อมาถูกรู้จักในนาม “บินลาดินแห่งอินเทอร์เน็ต” ซึ่งถูกฆ่าตายในเยเมนจากการโจมตีของอากาศยานไร้พลขับของอเมริกา
ในขณะที่ อุมัร อัลบุยูมีย์ พำนักในอเมริกานั้นเขาได้รับเงินช่วยเหลือผ่านบริษัทขนส่งทางอากาศของซาอุดิอาระเบีย ชื่อว่า delle Elko และก่อนเหตุการณ์โจมตี 11 กันยายน ในแฟ้มประวัติบันทึกของเอฟบีไอนั้นเขายังเป็นชาวซาอุดิอาระเบีย อันเป็นประเด็นที่กษัตริย์ซาอุดิอาระเบียได้ออกมาปฏิเสธ แต่ทั้งนี้อุมัร อัลบุยูมีย์ ได้เข้าออกสถานทูตซาอุฯ และสถานกงสุลในลอสแองเจอลิส (Los Angeles) บ่อยครั้ง
อุมัร อัลบุยูมีย์ ให้การยอมรับในการให้สัมภาษณ์กับอัยการสหรัฐ ในวันที่ได้พบกับ คาลิด อัลมิดหาร์ และ นะวาฟ อัลฮามัด ในการพบปะหนึ่งชั่วโมงกับฟาฮัด อัลสมารี (Fahd Alsmary) หนึ่งในเจ้าหน้าที่ของของกรมกิจการศาสนาประจำสถานกงสุลซาอุดีอาระเบียในลอสแองเจอลิส ซึ่งเขาได้ถือว่าฟาฮัด อัลสมารี เป็นอาจารย์ด้านจิตวิญญาณของเขา ถัดจากนั้นสองปี ฟาฮัด อัลสมารี ถูกกล่าวมีการเชื่อมโยงกับการก่อการร้ายจึงถูกตัดสิทธิทางการทูตและถูกไล่ออกจากอเมริกา
โอซามา บอสแนน (Osama Bosnan) ชาวซาอุดิอาระเบียอีกคนที่อาศัยอยู่ในซานดิเอโกในช่วงเวลาเดียวกันก็ยังได้พบกับ คาลิด อัลมิดหาร์ และ นะวาฟ อัลฮามัด
โอซามา บอสแนน ได้รับเงินประมาณ 75,000 ดอลลาร์จากไฮฟาบินสุลต่าน ภรรยาของเจ้าชายบันดาร์ บินสุลต่าน (อดีต) ทูตซาอุฯ ในอเมริกา โดยเจ้าหน้าที่ซาอุดีอาระเบียอ้างว่าเงินจำนวนดังกล่าวได้จ่ายเพื่อการรักษาภรรยาของ บอสแนน แต่ตามบางรายงานเผยว่าเงินดังกล่าวเป็นของอัลบุยูมีย์ ในเดือนสิงหาคม ปี 2002 บอสแนนถูกจับกุมตัวในข้อหาฉ้อโกงวีซ่า และจากนั้นสองเดือนถูกส่งกลับไปยังซาอุดีอาระเบีย
ในคดีที่เกิดขึ้น มีการตั้งข้อสังเกตและอ้างถึงบทบาทของซาอุดีอาระเบียในการโจมตี 11 กันยา ว่าเงินส่วนหนึ่งของปริ๊นไฮฟา ถูกใช้จ่ายเกี่ยวกับเครื่องบินสองลำที่ถูกจี้ในซานดิเอโก ในที่สุดเอฟบีไอก็ได้ออกมาประกาศว่า ไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะยืนยันในเรื่องดังกล่าว และคณะกรรมการตรวจสอบเหตุการณ์โจมตี 11 กันยา ก็ออกมายืนยันอย่างชัดเจนว่าไม่พบความเชื่อมโยงระหว่างการบุกโจมตี11 กันยา กับพระราชวงศ์แห่งซาอุดีอาระเบีย
อัลบุยูมีย์ ได้ย้ายที่พำนักไปยังอังกฤษในเดือนกรกฎาคมปี 2001 และเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกสาขาการบริหารจัดการธุรกิจที่มหาวิทยาลัยแอสตันเบอร์มิงแฮม 10 วันหลังจากการโจมตี 11 กันยา เอฟบีไอได้จับกุมตัวเขาตามคำขอของตำรวจอังกฤษ กระนั้นก็ตามทางการอเมริกากล่าวว่าไม่พบการเชื่อมโยงระหว่างเขากับผู้ก่อการร้าย ทำให้เขาได้รับการปล่อยตัว จากนั้นจึงศึกษาต่อในแอสตันและในที่สุดเขาก็เดินทางกลับไปยังซาอุดีอาระเบีย ต่อมาเอฟบีไอถูกกดดันอย่างหนักจากรัฐสภาอเมริกา จึงทำการเปิดคดี อัลบุยูมีย์อีกครั้งแต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนคำตัดสินใดๆ
ปูตินถูกข่มขู่
ในปี 2012 เจ้าชายบันดัร จัดอยู่ในระดับต้นของการพาดหัวข้อข่าวที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายในตะวันออกกลางเนื่องจากกษัตริย์ซาอุดิอาระเบีย ได้ทรงแต่งตั้งให้เขาเป็นหัวหน้าหน่วยงานความมั่นคงแห่งชาติและได้รับภารกิจในการจัดระเบียบกลุ่มต่อต้านรัฐบาลซีเรีย และห้วงเวลาดังกล่านั้นเองมีการรายงานเกี่ยวกับการพบปะของเขากับวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีของรัสเซียในกรุงมอสโก
ตามรายงานระบุว่า บันดัรได้กล่าวกับปูตินว่า ถ้ารัสเซียยังไม่ยุติการสนับสนุนบาชาร์ อัลอัสซาด ประธานาธิบดีซีเรีย ซาอุดิอาระเบียจะสนับสนุนให้กลุ่มติดอาวุธชาวเชเชนโจมตีโอลิมปิกฤดูหนาวในรัสเซีย ปูตินโกรธแค้นต่อการถูกข่มขู่และคุกคามในครั้งนี้ จากนั้นเครมลินก็เปิดเผยรายละเอียดของการพบปะครั้งนี้ ในที่สุดนำไปสู่ลาออกของบันดัรจากการปฏิบัติหน้าที่ของเขาในซีเรีย
การฟอกเงิน
อีกด้านหนึ่งบัญชีธนาคารที่ภรรยาของเจ้าชายบันดัรใช้ในการส่งเงินของเธอนั้นถูกปิดลงเนื่องจากละเมิดกฎและถูกสงสัยว่ามีการฟอกเงิน ภายหลังการตรวจสอบเป็นที่แน่ชัดและถูกเปิดเผยว่าธนาคารดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับสำนักข่าวกรองกลาง (ซีไอเอ) อเมริกา และเจ้าหน้าที่บางคนสามารถเข้าถึงข้อมูลทั้งหมด
โจนาธานบุช ลุงของจอร์จ ดับเบิลยู บุช เป็นผู้บริหารระดับสูงในธนาคารริกส์ ซึ่งเขามีบทบาทสำคัญในการดึงดูดนักลงทุนสถาบันปิโตรเลียมจอร์จดับเบิลยูบุชแห่งแรก ที่มีชื่อว่า Ariosto และเป็นหนึ่งในบุคคลหลักที่มีการระดมทุนในการหาเสียงเลือกตั้งในปี 2000 ให้กับหลานชายของเขา
ในปี 1991 โจนาธานบุช ถูกปรับ 30,000 ดอลลาร์เนื่องจากมีการขายหุ้นที่ผิดกฎหมายในแมสซาชูเซต ในปีเดียวกันมีการจ่ายเงินค่าปรับจำนวนเล็กน้อยในคอนเนตทิในข้อหาเดียวกัน
ในเดือนพฤษภาคม 2004 อเมริกาทำการปรับธนาคารริกส์ธนาคารจำนวน 25 ล้านดอลลาร์ ในข้อหาการฟอกเงิน และธนาคารนี้ยังต้องรับผิดชอบในการจ่ายค่าเสียหาย 9 ล้านดอลลาร์ ให้กับผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของการก่ออาชญากรรมของ Augusto Pinochet อดีตจอมเผด็จการของชิลีที่ได้ซุกซ่อนทรัพย์สินของพวกเขาผ่านธนาคารริกส์และได้ถอนเงินออกจากอังกฤษ
ท้ายที่สุดธนาคารพิตส์เบิร์กแห่งชาติในฐานะเป็นบริษัทที่ให้บริการทางการเงินและการธนาคารของอเมริกาก็ได้เข้าไปหุบและบริหารจัดการธนาคารริกส์ในเดือนกุมภาพันธ์ 2005 แล้วก็ได้ยุติการทำธุรกรรมที่ฮือฮากับสถานทูตต่างๆ ในเวลาต่อมา