ในที่สุดข้อตกลงที่รอมานานระหว่างอิหร่านกับกลุ่มประเทศ P5+1 (จีน, ฝรั่งเศส, รัสเซีย, อังกฤษ และสหรัฐฯ บวกเยอรมัน) ก็ได้รับการลงนาม ดูเหมือนว่าอิหร่านจะดำเนินโครงการนิวเคลียร์ของตนต่อไป เพื่อวัตถุประสงค์ในทางสันติ ซึ่งอิหร่านกล่าวมาตลอดว่าเป็นความตั้งใจของตน
ข้อตกลงนี้ได้รับการต้อนรับไปแทบจะทั่วโลก ยกเว้นอย่างน่าสังเกตที่สุดก็คือ อิสราเอล, สมาชิกหลายคนในสภาคองเกรสของสหรัฐฯ และว่าที่ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ นี่ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ เพราะอิสราเอลมองเห็นทุกอย่างว่าเป็นภัยคุกคามใหญ่หลวง “ที่มีอยู่จริง”, สภาคองเกรสถูกซื้อและรับเงินจากผู้สนับสนุนอิสราเอลหลายคน, และบุคคลส่วนใหญ่ที่แข่งขันกันเพื่อได้รับการเสนอชื่อจากสองพรรคใหญ่ก็อยู่ในสภาคองเกรสนั้น บรรดาผู้ที่ไม่ค่อยยึดมั่นกับการอธิบายความหมายของคริสตศาสนา ก็จะประกาศว่าอิสราเอลเป็นประชาชาติที่พระเจ้าทรงเลือกแล้ว (ใช่แล้ว คนที่มีความเชื่อนี้อยู่ในกลุ่มผู้ที่กำลังแข่งขันเพื่อให้ได้ตำแหน่งที่ทรงอำนาจที่สุดในโลก)
เจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ แม้แต่ผู้ที่สนับสนุนข้อตกลงที่บรรลุผลเมื่อเดือนกรกฎาคม ก็วิพากษ์วิจารณ์อิหร่าน โดยกล่าวว่าสาธารณรัฐอิสลามนี้ไม่สามารถไว้วางใจได้ และการตรวจสอบข้อตกลงนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง ฯลฯ มันน้อยเกินไปด้วยซ้ำที่จะกล่าวว่า คำพูดเช่นนั้นเป็นการเสแสร้งที่ออกมาจากประเทศที่มีจำนวนอาวุธนิวเคลียร์สูงที่สุดเป็นอันดับสอง (จากเก้าประเทศที่เป็นที่รู้หรือเชื่อกันว่ามีอาวุธนิวเคลียร์ สหรัฐฯ กับรัสเซียครอบครองมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนทั้งหมดทั่วโลก) ไม่ต้องพูดถึงว่าสหรัฐฯ เป็นชาติเดียวในโลกที่เคยใช้มัน!!
สหรัฐฯ ทำการทดลงนิวเคลียร์ครั้งแรกในเมืองนิวเม็กซิโกเมื่อเดือนกรกฎาคม 1945 และหลังจากนั้นดูเหมือนสหรัฐฯจะชอบสิ่งที่ได้เห็น จึงทำการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ใส่เมืองฮิโรชิม่าและนางาซากิของญี่ปุ่นหลังจากนั้นหนึ่งเดือน เมื่อวันที่ 6 สิงหาคมของปีนั้น ประชาชนอย่างน้อย 80,000 คนเสียชีวิตทันทีในเมืองฮิโรชิม่า และอีก 90,000 ถึง 140,000 คน เสียชีวิตจากสารกัมมันตรังสีและการบาดเจ็บภายในสิ้นปีนั้น สามวันต่อมา ประชาชนอย่างน้อย 70,000 คนเสียชีวิตเมื่อนางาซากิถูกทิ้งระเบิด และ 75,000 คนได้รับบาดเจ็บ และอีกหลายแสนคนเสียชีวิตในเวลาต่อมาอันเนื่องมาจากเหตุการณ์น่าสะพรึงกลัวนี้
อาจมีคนถามว่า ทำไมสหรัฐฯ ต้องตัดสินว่าประเทศใดบ้างที่สามารถหรือไม่สามารถมีอาวุธนิวเคลียร์ได้? ทำไมสหรัฐฯจึงสามารถทำตัวเป็นผู้ตัดสินศีลธรรมโลก ทั้งที่ตนมีประวัติศาสตร์เปื้อนเลือดอย่างรุนแรง? บางคนอาจคิดว่า ในการถกเถียงกันเรื่องอาวุธนิวเคลียร์แต่ละครั้ง สหรัฐฯ จะซ่อนหน้าด้วยความละอายใจ อยู่ในตำแหน่งที่ยอมรับอย่างนอบน้อมว่า เนื่องจากประวัติอาชญากรรมและการฆาตกรรมของตน สหรัฐฯ ทำได้เพียงแค่ทำการแก้ไขด้วยการป้องกันไม่ให้เหตุการณ์น่าสะพรึงกลัวเช่นนั้นเกิดขึ้นอีก
ในการถกเถียงกันเกี่ยวกับข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ หลายคนให้ความสนใจอย่างมากในการแสดงความรักและการปกป้องอิสราเอล ส่วนการพูดถึงอาชญากรรมสงครามที่กำลังเกิดขึ้นของอิสราเอล และเรื่องที่ไม่สามารถพูดได้ของประเทศนี้ การละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการปิดล้อมฉนวนกาซ่าอย่างผิดกฎหมาย การจับกุมชาวปาเลสไตน์ทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และเด็ก โดยไม่มีข้อหา และการยิงชาวปาเลสไตน์ที่ไม่มีอาวุธ เป็นเรื่องที่อยู่นอกประเด็นการพูดคุย อย่างไรก็ตาม เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปทั่วโลกแล้วว่า อิสราเอลเป็นชาติที่เหยียดเชื้อชาติ กระทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์อย่างต่อเนื่อง ยกเว้นก็แต่ในห้องโถงของสภาคองเกรส และที่ชุมนุมของคริสตจักรของคริสเตียนที่สอนศาสนาคริสต์อย่างที่พระเยซูคริสต์จะไม่ยอมรับ
ภัยคุกคามอะไร?

ฮิลลารี่ คลินตัน อดีตสตรีหมายเลขหนึ่ง, วุฒิสมาชิกสหรัฐฯ, รัฐมนตรีต่างประเทศ และผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ได้กล่าวข้อความที่น่าประหลาดใจนี้เมื่อเดือนที่แล้วว่า “ฉันจะไม่สนับสนุนข้อตกลงนี้สักวินาทีเดียว ถ้าฉันคิดว่ามันจะทำให้อิสราเอลตกอยู่ในอันตรายที่ใหญ่หลวงยิ่งขึ้น”
คำว่า “อันตรายที่ใหญ่หลวงยิ่งขึ้น” บ่งบอกว่าอิสราเอลตกอยู่ในอันตรายบางอย่างแล้ววันนี้ ด้วยเงินช่วยเหลือทางทหารของสหรัฐฯ ปีละมากกว่า 3 พันล้านดอลล่าร์ และในฐานะที่เป็นชาติเดียวในตะวันออกกลางที่มีอาวุธนิวเคลียร์ ดูเหมือนอิสราเอลจะไม่อยู่ในอันตรายจากใครมากนัก แต่คลินตันก็ยังกล่าวต่อไปอีกว่า ถ้าเธอได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี เธอจะ “ไม่ลังเลที่จะดำเนินการทางทหารถ้าอิหร่านพยายามจะครอบครองอาวุธนิวเคลียร์”
ดังนั้น สหรัฐฯ ที่มีอาวุธนิวเคลียร์หลายพันลูก กำลังขัดขวางอิหร่านไม่ให้พัฒนาสิ่งเหล่านั้น อย่างน้อยส่วนหนึ่งก็เพื่อปกป้อง “พันธมิตร” ของตน นั่นก็คืออิสราเอล แต่ทำไมอิสราเอลจึงจำเป็นต้องได้รับการปกป้องจากสหรัฐด้วยเล่า?
มันน่าสนใจ และน่ารำคาญใจเล็กน้อย ที่อิสราเอลเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์และไม่ได้ลงนามในสนธิสัญญาไม่แพร่กระจายอาวุธนิวเคลียร์ (NPT) สนธิสัญญานี้ถูกอธิบายบนหน้าเว็บไซต์ของสำนักงานกิจการว่าด้วยการลดอาวุธแห่งสหประชาชาติ(U.N. Office for Disarmament Affairs) ว่า
“สนธิสัญญา NPT เป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่สำคัญฉบับหนึ่ง ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการแพร่กระจายอาวุธนิวเคลียร์และเทคโนโลยีอาวุธ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในการใช้พลังงานนิวเคลียร์โดยสันติ และเพื่อส่งเสริมเป้าหมายที่จะบรรลุถึงการลดอาวุธนิวเคลียร์ และการลดอาวุธโดยทั่วไปและโดยสิ้นเชิง”
อิสราเอล ซึ่งเป็นที่รู้กันโดยกว้างขวางว่าครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ ไม่ได้ลงนามในสนธิสัญญานี้ แต่อิหร่านได้ลงนามยืนยันเมื่อปี 1970
อิสราเอลต้องการอาวุธนิวเคลียร์เกือบจะตั้งแต่ตอนแรกเริ่มอันนองเลือดของตน และไม่น่าประหลาดใจเลย ที่การแนะนำให้ความช่วยเหลือด้านนิวเคลียร์ครั้งแรกของอิสราเอลมาจากสหรัฐฯ ภายใต้การริเริ่มที่เรียกว่า “อะติมเพื่อสันติ” ซึ่งสหรัฐฯ ได้เริ่มต้นขึ้นเพื่อแบ่งปันข้อมูลและเทคโนโลยีด้านนิวเคลียร์กับประเทศอื่นๆ เพื่อวัตถุประสงค์ที่สันติ อิสราเอลได้รับเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ตัวแรกในปี 1955 ด้วยความปรารถนาดีจากสหรัฐฯ
และตอนนี้อิสราเอลกำลังกรีดร้องว่าฆาตรกรมือเปื้อนเลือด (เป็นคำร้องที่เหมาะสมกับชาติที่กำลังทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อย่างต่อเนื่อง) เพราะอิร่านจะได้รับอนุมัติ ควรระบุว่า “ได้รับอนุมัติ” จากชาติต่างๆ ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจการภายในประเทศของอิหร่านให้พัฒนาโครงการนิวเคลียร์เพื่อสันติ ทว่าอิสราเอลขัดขืนความพยายามทุกอย่างขององค์กรระหว่างประเทศที่จะตรวจสอบโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่าน
อุบัติเหตุนิวเคลียร์
มันคงน้อยเกินไปอีกครั้งที่จะกล่าวว่า สหรัฐฯ ได้เปิดกระป๋องหนอนด้วยโครงการนิวเคลียร์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของตน ได้ทำลายล้างชีวิตพลเรือนชาวญี่ปุ่นหลายแสนคนภายในหนึ่งสัปดาห์ และอีกหลายคนที่นั่นต้องทนทุกข์ทรมานจนตายด้วยความเจ็บปวดและน่าหวาดกลัวในอีกหลายเดือนและหลายปีต่อมา
อย่างไรก็ตาม มันสำคัญที่จะต้องพิจารณาว่า แม้แต่การใช้วัตถุนิวเคลียร์เพื่อสันติก็ยังคงมีภัยอันตรายใหญ่หลวง อุบัติเหตุหลายครั้งที่โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ของพลเรือนหรือเพื่อการค้าได้สร้างความเสียหายอย่างบอกไม่ถ้วน ในหลายกรณี ความเสียหายยังคงดำเนินต่อไปในรูปแบบของความพิการแต่กำเนิด อัตรามะเร็งที่เพิ่มมากขึ้น และอาการร้ายแรงอื่นๆ
เราลองมาดูอุบัติเหตุนิวเคลียร์ที่ได้เกิดขึ้นในช่วงหลังๆ ของศตวรรษที่ 20
• สถานีพลังงานทดลอง SL-1, ไอดาโฮ ฟอลส์, ไอดาโฮ, 1961 – การเปิดแท่งควบคุมไม่เรียบร้อยเป็นสาเหตุให้เกิดการระเบิดไอน้ำและการหลอมละลาย ทำให้ผู้ปฏิบัติการสามคนเสียชีวิต โดยสองคนเสียชีวิตเกือบจะทันที และคนที่สามเสียชีวิตในเวลาต่อมา อุบัติเหตุครั้งนี้อยู่ที่ “ระดับ 4” ตามมาตรวัดระดับความรุนแรงของอุบัติเหตุนิวเคลียร์ระหว่างประเทศ (International Nuclear Event Scale -INES) ที่มีเจ็ดระดับ ซึ่งใช้โดยทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (International Atomic Energy Agency) เพื่ออธิบายถึงผลกระทบของเหตุการณ์หรืออุบัติเหตุที่มีต่อประชาชนหรือสิ่งแวดล้อม
• โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์เซนต์ลอเรนท์, ลัวร์-เอต์-แชร์, ฝรั่งเศส, 1969 – ยูเรเนียมห้าสิบกิโลกรัมในโรงปฏิกรณ์ก๊าซเย็นเริ่มละลาย ส่งผลให้กลายเป็นภัย่พิบัติทางนิวเคลียร์ครั้งร้ายแรงที่สุดของฝรั่งเศสจนถึงปัจจุบัน อุบัติเหตุครั้งสองที่โรงงานเดียวกันนี้เกิดขึ้นในปี 1980 ทั้งสองเหตุการณ์ถือว่าอยู่ใน “ระดับ 4” ตามมาตรฐาน INES
• เกาะทรีไมล์, ดอฟิน เคาน์ตี้, เพนซิลวาเนีย, 1979 – เป็นภัยพิบัติด้านพลังงานนิวเคลียร์ครั้งเลวร้ายที่สุดจนถึงปัจจุบัน มีการหลอมละลายของเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์สองตัว ภายในสามวัน ประชาชน 140,000 คนถูกอพยพออกไปจากรัศมีของรังสี 20 ไมล์ อุบัติเหตุครั้งนี้อยู่ที่ “ระดับ 5” ตามมาตรฐาน INES
• โรงงาน RA-2, บัวโนส ไอเรส, อาร์เจนติน่า, 1983 – ความผิดพลาดของผู้ปฏิบัติการคนหนึ่งทำให้เขาเสียชีวิตภายในสองวันเนื่องจากการระเบิดของสารกัมมันตรังสี และคนอื่นๆ อีก 17 คน ด้านนอกห้องเตาปฏิกรณ์ได้รับสารกัมมันตรังสีในระดับต่ำกว่า อุบัติเหตุครั้งนี้อยู่ที่ “ระดับ 4” ตามมาตรฐาน INES
• โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์เชอร์โนบีล, เชอร์โนบีล, ยูเครน, 1986 – หนึ่งในสองของอุบัติเหตุนิวเคลียร์รุนแรง “ระดับ 7” ตามมาตรฐาน INES ยอดผู้เสียชีวิตทั้งหมดยังคงไม่สามารถสรุปได้ รายงานปี 2006 จากองค์การอนามัยโลก ประมาณว่ามีผู้เสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ 9,000 คน แต่จำนวนนั้นยังคงสูงขึ้นเรื่อยๆ ประชาชนอย่างน้อย 5,000 คนที่เป็นเด็กหรือวัยรุ่นในขณะที่เกิดภัยพิบัติครั้งนี้ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งต่อมไทรอยด์ รายงานฉบับนี้กล่าวว่า “ประชาชนมากกว่าห้าล้านคนปัจจุบันอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ยังคงปนเปื้อนสารกัมมันตรังสี ประชาชนเหล่านี้จำนวนมากแสดงให้เห็นถึงระดับน่ากังวลที่สูงขึ้น อาการทางร่างกายที่อธิบายไม่ได้อีกมากมาย และมีสุขภาพแย่เมื่อเปรียบเทียบกับประชาชนที่ไม่ได้รับสาร” นอกจากนี้ ผลกระทบทางจิตใจของเหตุการณ์นี้และภัยพิบัติอื่นๆ เช่นเดียวกันนี้ไม่สามารถจะลดน้อยลงได้ รายงานขององค์การอนามัยโลกยังระบุอีกว่า “การย้ายที่อยู่ยิ่งทำให้เกิดประสบการณ์ความบอบช้ำทางจิตใจที่บาดลึกเนื่องจากการแตกแยกอกจากเครือข่ายสังคม และไม่มีทางเป็นได้ที่จะกลับบ้านของพวกเขา สำหรับหลายคน มันเป็นมลทินทางสังคมที่เข้าไปสมาคมกับ ‘คนที่ได้รับรังสี’” เกือบหนึ่งในสี่ของประชาชนหนึ่งล้านคนที่ต้องย้ายที่อยู่ถาวรเพราะอุบัติเหตุครั้งนี้
• โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ฟูกุชิมะ ไดอิชิ, โอกุมะ, ญี่ปุ่น, 2011 – การเฝ้าระวังความปลอดภัยที่โรงงานนิวเคลียร์เป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก แต่ในกรณีของโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ในญี่ปุ่น ซึ่งประสบกับการหลอมละลายหลังจากเกิดแผ่นดินไหวขนาด 9 ริกเตอร์นี้ ความเสี่ยงอันตรายบางอย่างไม่สามารถบรรเทาลงได้ ประชาชนมากกว่า 150,000 คนถูกอพยพอกจากบ้านเรือนของพวกเขาท่ามกลางอุบัติเหตุ “ระดับ 7” ตามมาตรฐาน INES ครั้งนี้ โดยต้งทิ้งทรัพย์สินทั้งหมดไว้ข้างหลังโดยไม่มีความหวังว่าจะได้กลับมา ผลระยะยาวของภัยพิบัติครั้งนี้ยังไม่เป็นที่รู้กัน และปัญหาทางสิ่งแวดล้อมได้ขยายออกไปไกลกว่าญี่ปุ่น นักการทูตยอมรับว่ากัมมันตรังสีจากภัยพิบัติครั้งนี้ไปถึงสหรัฐฯในเวลาไม่กี่วัน แต่มองข้ามผลกระทบที่แท้จริง
ความเสียหายต่อสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นได้แทบจะไม่มีอะไรเสมอเหมือน อาการป่วยจากรังสีเฉียบพลันเกิดขึ้นในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหลังจากได้รับรังสี ขึ้นอยู่กับขนาดของกัมมันตรังสี และสามารถทำให้เกิดการระคายเคืองผิว, อาเจียน, ท้องเสีย, อาการโคม่า และเสียชีวิต โปรดสังเกตว่าในสองเหตุการณ์ตัวอย่างด้านบน ผู้ปฏิบัติการสี่คนที่ได้รับกัมมันตรังสีเสียชีวิตภายในไม่กี่วันที่ถูกรังสี
แต่ความทุกข์ทรมานและความตายที่เกิดจากอุบัติเหตุเหล่านี้เป็นสิ่งเล็กน้อยไปเมื่อเทียบกับสิ่งที่อาวุธนิวเคลียร์สามารถทำให้เกิดขึ้นได้ เหมือนที่สหรัฐฯ ได้แสดงให้โลกเห็นมาแล้วในฮิโรชิม่าและนางาซากิเมื่อปี 1945
ประวัติศาสตร์ร้ายแรงด้านนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ ก็ไม่สามารถหยุดมันจากการทำกร่างไปทั่วเวทีโลกทุกวันนี้ ทำการตัดสินว่าประเทศใดสามารถ(อิสราเอล) และไม่สามารถ(อิหร่าน) มีอาวุธนิวเคลียร์ได้ สุนัขจิ้งจอกที่ได้ช่วงชิงอำนาจเหนือเล้าไก่ ตัดสินใจว่าเล้าไหนที่สุนัขจิ้งจอกตัวอื่นๆ สามารถเข้ามาได้ และเล้าไหนห้ามเข้า
แง่มุมหนึ่งที่น่าสังเกตของการปฏิบัติพิเศษนี้ในการเสแสร้งของสหรัฐฯ ก็คือการขัดขืนความประสงค์ของอิสราเอล กลุ่มล้อบบี้เพื่ออิสราเอลในสหรัฐฯ ทำงานอย่างหนักเพื่อทำลายข้อตกลงนี้ โดยที่นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล ถึงขนาดกล่าวแสดงความหวาดกลัวของเขาต่อสภาคองเกรสของสหรัฐฯ ในห้องโถงนั้น เขาประกาศอย่างไม่น่าเชื่อถือว่า ข้อตกลงนั้นจะเป็นกองทุนกับสิ่งที่เขาเรียกว่ารัฐบาลก่อการร้ายแห่งอิหร่าน แต่ถึงกระนั้น ด้วยการสนับสนุนอิสราเอล สหรัฐฯ ได้ให้การสนับสนุนด้านการเงินแก่รัฐก่อการร้ายทั้งหลายที่น่ากลัวมากที่สุดบนโลกใบนี้
ดังนั้น สำหรับตอนนี้ มาตรการคว่ำบาตรของนานาชาติต่ออิหร่านจะถูกยกเลิกไปขณะที่อิหร่านดำเนินการสร้างเทคโนโลยีนิวเคลียร์เพื่อสันติของตนต่อไป อย่างไรก็ตาม มีภัยคุกคามร้ายแรงอยู่อย่างหนึ่งที่อิสราเอล จะใช้อาวุธที่สหรัฐฯ จัดหาให้ เพื่อปฏิบัติการแต่ฝ่ายเดียวในการระเบิดอิหร่าน ผลที่ตามมาของการกระทำเช่นนั้นจะมีความร้ายแรงใหญ่หลวงกว่าการที่อิหร่านครอบครองอาวุธนิวเคลียร์มากนัก บางทีการกดดันของโลกจะขัดขวางไม่ให้สิ่งนี้เกิดขึ้น ถ้าทำไม่ได้มันก็จะเป็นโศกนาฏกรรมระดับโลกเลยทีเดียว!!
โดย โรเบิร์ต แฟนตินา
แปลจาก http://www.mintpressnews.com