จักรวรรดิ์สหรัฐฯ ควรถูกตำหนิสำหรับวิกฤตการณ์ผู้ลี้ภัย

1612
(ภาพ) เด็กชายลี้ภัยคนหนึ่งมองผ่านหน้าต่างตู้โดยสารของรถไฟไปเซอร์เบียขบวนหนึ่ง ที่ศูนย์ส่งต่อผู้ลี้ภัยแห่งใหม่ที่แนวชายแดนระหว่างกรีซและมาซิโดเนีย ใกล้เมือง เกฟเกลิจา เมื่อ 28 สิงหาคม

เพรสทีวี – เอ็ดเวิร์ด ซาอิด นักทฤษฎีวรรณกรรมชาวอเมริกัน-ปาเลสไตน์ผู้มีชื่อเสียง ได้จำแนกความแตกต่างระหว่างลัทธิอาณานิคม(colonialism) กับลัทธิจักรวรรรดินิยม(imperialism) โดยกล่าวว่า การตั้งอาณานิคมเกิดขึ้นเมื่อผู้มีอำนาจเหนือกว่าเข้ามาช่วงชิงประเทศหนึ่งด้วยกำลัง ในขณะที่ลัทธิจักรวรรดินิยมเป็นการใช้อำนาจแบบนุ่มนวลซึ่งจะค่อยๆ แปลกแยกคนออกจากวัฒนธรรมแห่งมาตุภูมิของตน

ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา สหรัฐฯ ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นมหาอำนาจแห่งจักรวรรดินิยมโดยเนื้อแท้ แต่มหาอำนาจของโลก ตามที่มันถูกเรียกนี้ จะไม่คิดอะไรเลยในการเปิดเผยเครื่องจักรสงครามที่ถูกห่อหุ้มไว้ของมันเมื่อใดก็ตามที่ลัทธิจักรวรรดินิยมไม่ได้เอื้อต่อผลประโยชน์ของวอชิงตัน

(ภาพ) ผู้ลี้ภัยรอขึ้นฝั่งจากเรือ Diciotti เรือรักษาชายฝั่งของอิตาลี่ ที่ท่าเรือเมสซิน่า ในเมืองซิซิลี ประเทศอิตาลี่ เมื่อ 29 สิงหาคม 2015
(ภาพ) ผู้ลี้ภัยรอขึ้นฝั่งจากเรือ Diciotti เรือรักษาชายฝั่งของอิตาลี่ ที่ท่าเรือเมสซิน่า ในเมืองซิซิลี ประเทศอิตาลี่ เมื่อ 29 สิงหาคม 2015

ปัจจุบัน วิกฤติการณ์ผู้ลี้ภัยกำลังอยู่ในความสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการเสียชีวิตอย่างน่าอนาถของเด็กชายอัยลัน เคอร์ดี้ วัย 3 ขวบ นอกชายฝั่งตุรกี สื่อรายงานไปพร้อมกับการแสดงความคิดเห็นอย่างมากมายเพื่อรับมือกับวิกฤติการณ์ที่กำลังเลวร้ายลง โดยที่กลุ่มผู้สนับสนุนการตั้งค่ายผู้ลี้ภัยพากันเรียกร้องให้ชาติต่างๆ ในยุโรปรับผู้ขอลี้ภัยเพิ่มขึ้น และกลุ่มขวาจัดก็ใช้วาทกรรมสร้างความเกลียดกลัวชาวต่างชาติและเหยียดชนชาติต่อผู้ลี้ภัยมุสลิมและผิวสี แต่สิ่งที่มักจะถูกละเลยในการรายงานข่าวของสื่อเกี่ยวกับสถานการณ์เหล่านี้ก็คือ ต้นกำเนิดของความชั่วร้ายทั้งหมดนี้ อันได้แก่ ความโลภของมหาอำนาจตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สหรัฐฯ ในการสถาปนาอำนาจครอบงำของตนเองเหนือโลกโดยผ่านวิธีการทางอ้อม และถ้าจำเป็น ก็ทางตรง

(ภาพ) ผมของเด็กหญิงผู้ลี้ภัยคนหนึ่งติดกับรั้วลวดหนามขณะกำลังคลานลอดรั้วเข้ามาพร้อมกับครอบครัวของเธอที่ชายแดนเซอร์เบีย-ฮังการี่ ใกล้กับเมืองรอสเก เมื่อ 27 สิงหาคม 2015
(ภาพ) ผมของเด็กหญิงผู้ลี้ภัยคนหนึ่งติดกับรั้วลวดหนามขณะกำลังคลานลอดรั้วเข้ามาพร้อมกับครอบครัวของเธอที่ชายแดนเซอร์เบีย-ฮังการี่ ใกล้กับเมืองรอสเก เมื่อ 27 สิงหาคม 2015

จ้าวแห่งการล่าอาณานิคมและจักรวรรดินิยมสหรัฐฯ ยังคงทำงานอย่างเต็มกำลังในตะวันออกกลาง เอเชียกลาง และแอฟริกา ตามที่ ที.เจ. เปโทรว์สกี กล่าวไว้ในบทความของเขาเรื่อง “วิกฤติการณ์ผู้ลี้ภัยคือวิกฤติการณ์แห่งลัทธิจักรวรรดินิยม” (The Refugee Crisis is a Crisis of Imperialism.)

นักวิเคราะห์ผู้นี้ยังเชื่อว่า จำนวนของผู้ลี้ภัยเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจนับตั้งแต่เริ่มต้น “สงครามต่อต้านการก่อการร้าย” ของสหรัฐฯ

(ภาพ) ผู้ลี้ภัยข้ามขายแดนระหว่างมาซิโดเนียกับกรีซ ใกล้เมืองเกฟเกลิจา เมื่อ 2 กันยายน 2015
(ภาพ) ผู้ลี้ภัยข้ามขายแดนระหว่างมาซิโดเนียกับกรีซ ใกล้เมืองเกฟเกลิจา เมื่อ 2 กันยายน 2015

“ที่ใดก็ตามที่สหรัฐฯ และพันธมิตรจักรวรรดินิยมของมันได้เข้าไปแทรกแซง ไม่ว่าโดยผ่านปฏิบัติการทางทหารโดยตรงหรือการใช้สงครามตัวแทนทางอ้อม, การบ่อนทำลายเศรษฐกิจ และการทำรัฐประหาร ในนามของ ‘ประชาธิปไตย’, ‘สงครามต่อต้านการก่อการร้าย’ หรือ ‘ความรับผิดชอบในการปกป้อง’ ประชาชนผู้บริสุทธิ์หลายล้านคนถูกบีบให้พบกับความตายและความสิ้นหวัง พวกเขาไม่เหลือทางเลือกอื่นใดนอกจากต้องละทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองเพื่อไปเริ่มต้นเสี่ยงอนาคตกับการต่อสู้ดิ้นรนที่สิ้นหวัง” เขากล่าว

(ภาพ) ผู้ลี้ภัยล้มลงขณะรีบเร่งข้ามเข้าไปในมาซิโดเนีย หลังจากตำรวจอนุญาตให้ประชาชนกลุ่มเล็กๆ ผ่านด่านเข้าไปได้ ที่ชายแดนกรีซ-มาซิโดเนีย เมื่อ 2 กันยายน 2015
(ภาพ) ผู้ลี้ภัยล้มลงขณะรีบเร่งข้ามเข้าไปในมาซิโดเนีย หลังจากตำรวจอนุญาตให้ประชาชนกลุ่มเล็กๆ ผ่านด่านเข้าไปได้ ที่ชายแดนกรีซ-มาซิโดเนีย เมื่อ 2 กันยายน 2015

พลเมืองชาวอัฟกัน “ผู้ยากจน, บอบช้ำ และสิ้นหวัง” ได้เผชิญกับการต่อสู้อย่างรุนแรงระหว่างผู้รุกรานต่างชาติที่นำโดยสหรัฐฯ กับนักรบตอลีบันมาเป็นเวลาหลายปี และยังคงล้มเหลวในการค้นพบสันติภาพและเสถียรภาพในแผ่นดินเกิดของพวกเขา

(ภาพ) ผู้ลี้ภัยขึ้นฝั่งที่เมืองคอส ประเทศกรีซ หลังจากสิ้นสุดการเดินทางในเรือบดขนาดเล็กข้ามระยะทางสามไมล์ของทะเลอีเจียนมาจากตุรกี เมื่อ 31 สิงหาคม 2015
(ภาพ) ผู้ลี้ภัยขึ้นฝั่งที่เมืองคอส ประเทศกรีซ หลังจากสิ้นสุดการเดินทางในเรือบดขนาดเล็กข้ามระยะทางสามไมล์ของทะเลอีเจียนมาจากตุรกี เมื่อ 31 สิงหาคม 2015

สถานการณ์ของประเทศอาหรับในภูมิภาคนี้ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกกวาดไปด้วยรัศมีแห่งความหวังของการตื่นตัวของโลกอิสลาม ป่าวประกาศถึงยุคใหม่แห่งประชาธิปไตยและความเจริญรุ่งเรือง แต่ไม่นานความฝันนั้นก็ได้เปลี่ยนไปเป็นฝันร้ายเมื่อสหรัฐฯ และพันธมิตรได้เข้ามาอยู่ในสมการของรัฐอาหรับ ด้วยอ้างถึงความพยายามที่จะปกป้องสิทธิ์ของผู้แสวงหาประชาธิปไตย

(ภาพ) เด็กหญิงผู้ลี้ภัยตัวน้อยที่แม่อุ้มไว้ใกล้กับทางรถไฟในเมืองไอโดเมนี ประเทศกรีซ เพื่อรอข้าไปยังมาซิโดเนีย เมื่อ 2 กันยายน 2015
(ภาพ) เด็กหญิงผู้ลี้ภัยตัวน้อยที่แม่อุ้มไว้ใกล้กับทางรถไฟในเมืองไอโดเมนี ประเทศกรีซ เพื่อรอข้าไปยังมาซิโดเนีย เมื่อ 2 กันยายน 2015

“ในปี 2011 เมื่อการประท้วงอาหรับสปริงได้กวาดไปทั่วตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ จักรวรรดิ์ตะวันตกได้จี้เอาความคับข้องใจอันชอบธรรมของมวลชนไปเป็นข้ออ้างเพื่อเข้าแทรกแซงในนามของ ‘ความรับผิดชอบในการปกป้อง’ และ ‘การส่งเสริมระบอบประชาธิปไตย’” เปโทรว์สกี้ กล่าวต่อไป

(ภาพ) แม่และลูกสาวจับมือกันขณะนอนหลับบนเปลนอนที่ศูนย์ลงทะเบียนสำหรับผู้ลี้ภัยที่กองอำนวยการแห่งหนึ่งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเยอรมัน ในเมืองโรเซนไฮม์ เมื่อ 31 สิงหาคม 2015
(ภาพ) แม่และลูกสาวจับมือกันขณะนอนหลับบนเปลนอนที่ศูนย์ลงทะเบียนสำหรับผู้ลี้ภัยที่กองอำนวยการแห่งหนึ่งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเยอรมัน ในเมืองโรเซนไฮม์ เมื่อ 31 สิงหาคม 2015

ตัวอย่างที่โดดเด่นที่สุดของความเจ็บปวดอันถาวรคือลิเบีย ที่ซึ่งการปฏิวัติอย่างมีความหวังของประชาชนต่อระบอบการปกครองอันยาวนานของจอมเผด็จการมุอัมมาร์ กัดดาฟี ต้องลงท้ายด้วยหายนะภัยเต็มขั้น อันเป็นผลมาจากการเข้าแทรกแซงของต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโดยองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือนาโต้
“การโจมตีทางอากาศของนาโต้ได้ทำให้พลเมืองหลายร้อยคนเสียชีวิต และผลักดันให้ลิเบียต้องถอยกลับไปสู่ยุคหิน… หลายพันคนถูกสังหารเมื่อกลุ่มชนเผ่าที่เป็นอริกันและกลุ่มหัวรุนแรง ที่บางกลุ่มเป็นพันธมิตรกับไอซิซในเวลานี้ กำลังต่อสู้กันเพื่อควบคุมประเทศ” นักวิเคราะห์ผู้นี้ระบุ

(ภาพ) ผู้ลี้ภัยชาวซีเรียนอนบนพื้นรถไฟที่กำลังพาพวกเขาจากมาซิโดเนียไปยังชายแดนเซอร์เบีย เมื่อ 30 สิงหาคม 2015
(ภาพ) ผู้ลี้ภัยชาวซีเรียนอนบนพื้นรถไฟที่กำลังพาพวกเขาจากมาซิโดเนียไปยังชายแดนเซอร์เบีย เมื่อ 30 สิงหาคม 2015

ดังนั้น มันจะเป็นเรื่องแปลกอะไรถ้าชาวลิเบียจะตัดสินใจหนีไปจากแผ่นดนิเกิดของตัวเองภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน ที่ประเทศของพวกเขากำลังขับเคี่ยวอยู่กับสูญญากาศทางอำนาจอย่างรุนแรงและปัญหาความมั่นคงปลอดภัยอย่างหนัก?

และความจริงก็เป็นเช่นเดียวกันนั้นกับสาธารณรัฐอาหรับซีเรีย ซึ่งถูกกลืนกินด้วยไฟแห่งการต่อสู้ที่ต่างชาติหนุนหลังมาตั้งแต่ปี 2011 ไม่มีใครสามารถปฏิเสธความจริงที่ว่า กลุ่มก่อการร้ายดาอิชตักฟีรีกลุ่มนี้เป็น “ผลผลิตของการยึดครองอิรักอย่างผิดกฎหมายของสหรัฐฯ ที่ได้เข่นฆ่าชาวอิรักไป 1 ล้านคน”  เปโทรว์สกี้บอกว่า หลักฐานที่โต้แย้งไม่ได้ยังยืนยันต่อไปอีกว่า “สหรัฐฯ และพันธมิตรได้ทำการฝึกซ้อมและสนับสนุนกลุ่มต่างๆ ของไอซิซ(ดาอิช) อย่างแข็งขัน นับตั้งแต่เริ่มต้นสงครามตัวแทน (proxy war) ในซีเรีย”

(ภาพ) ตำรวจลำเลียงผู้ลี้ภัยชาวอัฟกันขึ้นรถตู้คันหนึ่ง หลังจากผู้ขอลี้ภัยกลุ่มนี้ได้ข้ามจากออสเตรียเข้ามาในเยอรมนี เมื่อ 30 สิงหาคม 2015
(ภาพ) ตำรวจลำเลียงผู้ลี้ภัยชาวอัฟกันขึ้นรถตู้คันหนึ่ง หลังจากผู้ขอลี้ภัยกลุ่มนี้ได้ข้ามจากออสเตรียเข้ามาในเยอรมนี เมื่อ 30 สิงหาคม 2015

สถานการณ์ในซีเรียกลายเป็นเรื่องประหลาดและน่าขัน เมื่อมหาอำนาจกลุ่มเดียวกันกับที่ได้สร้างและบ่มเพาะพวกดาอิชขึ้นมา กลับตัดสินใจในภายหลังที่จะระเบิดที่ตั้งของกลุ่มตักฟีรีกลุ่มนี้ด้วยข้ออ้างที่จะสะกัดกั้นการรุกคืบของลัทธิก่อการร้ายและหัวรุนแรงในภูมิภาคนี้ ด้วยเหตุนี้ ประชาชนชาวซีเรียจึงไม่มีหนทางอื่นนอกจากต้องเลือกระหว่างถูกตัดหัวโดยพวกตักฟีรี กับถูกสังหารโดยปฏิบัติการทางอากาศที่นำโดยสหรัฐฯ คุณยังเห็นว่ามันน่าประหลาดใจอีกหรือที่ผู้ลี้ภัยที่มุ่งหน้าไปยังยุโรปทุกวันนี้ส่วนใหญ่มาจากซีเรีย?!

(ภาพ) ผู้ลี้ภัยถักเหนื่อยที่สถานีรถไฟเกฟเกลิยา มาซีโดเนีย เมื่อ 21 สิงหาคม 2015
(ภาพ) ผู้ลี้ภัยถักเหนื่อยที่สถานีรถไฟเกฟเกลิยา มาซีโดเนีย เมื่อ 21 สิงหาคม 2015

มันเป็นไปโดยไม่ต้องพูดออกมาว่า ไม่สามารถจินตนาการถึงทางออกที่ยั่งยืนสำหรับวิกฤติการณ์ผู้ลี้ภัยนี้ได้เลยโดยที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในนโยบายต่างประเทศของวอชิงตัน และสิ่งที่ดูเหมือนจะสำคัญก็คือ ท่าทีของผู้สร้างนโยบายในยุโรปต่อวิกฤติการณ์นี้ บางทีมันคงจะถึงเวลาแล้วสำหรับยุโรปที่จะต้องยืนบนขาของตัวเอง และหลีกเลี่ยงการเดินตามนโยบายของสหรัฐฯ ในภูมิภาคนี้อย่างคนตาบอด ผู้ลี้ภัยต้องหนีเอาชีวิตรอด และมีสิทธิ์ที่จะหนีเอาชีวิตรอด ตราบใดที่ผู้ค้าสงครามและตัวแทนของพวกเขายังคงปฏิบัติการอยู่ในภูมิภาคนี้ คุณต้องการให้ไม่มีผู้ลี้ภัยใช่ไหม? ก็หยุดการทำสงครามสิ!