เจ้าหน้าที่เยเมนจับผู้ก่อการร้ายเอธิโอเปียในชุดผู้หญิง

1381

สำนักข่าวฟาร์สนิวส์ (FNA) ของอิหร่านรายงานว่า เจ้าหน้าที่รักษาความมั่นคงอันซอรุลลอฮ์คนหนึ่งกล่าวเมื่อวันศุกร์ (14 สค.) ว่า กองกำลังหน่วยข่าวกรองและกองกำลังประชาชนได้จับกุมกลุ่มชายชาวเอธิเอเปียกลุ่มหนึ่งที่มีความเชื่อมโยงกับซาอุดี้ฯ ที่พยายามจะเล็ดลอดเข้าไปในเมืองหลวงซานาอฺ ในชุดเสื้อผ้าของผู้หญิงเพื่อทำการโจมตีก่อการร้าย

“หน่วยข่าวกรองของเยเมนร่วมกับคณะกรรมการประชาชนได้ระบุและจับกุมกลุ่มก่อการร้ายกลุ่มหนึ่งที่มีความสัมพันธ์กับหน่วยงานลับของซาอุดี้ฯ และมีเจตนาที่จะเข้ามาก่อเหตุก่อการร้ายในมัสยิดและตลาดในเมืองซานาอฺ” เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวบอกกับสำนักข่าวฟาร์ส

“ผู้ก่อการร้ายที่ถูกจับกุมตัวได้ถือสัญชาติเอธิโอเปีย และถูกจับกุมโดยกองกำลังอันซอรุลลอฮ์ในเมืองหลวงของเยเมน” เจ้าหน้าที่กล่าวเสริม

แหล่งข่าวผู้นี้ยังกล่าวต่อไปอีกว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่กองกำลังของหน่วยข่าวกรองของเยเมนสามารถจับกุมผู้ก่อการร้ายชายในชุดแต่งกายของผู้หญิง

เมื่อปลายเดือนกรกฎาคม ได้เกิดเหตุระเบิดรถยนต์ขึ้นในซานาอฺ เมืองหลวงของเยเมน ทำให้ประชาชนเสียชีวิตไปอย่างน้อยสามคนและบาดเจ็บอีกหกคน

ตามรายงานของสื่อภายในประเทศ เหตุการณ์ระเบิดรุนแรงครั้งนั้นเกิดขึ้นใกล้กับมัสยิดแห่งหนึ่งในพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมือง

กลุ่มตักฟีรีไอซิล(ไอซิซ) ได้อ้างความรับผิดชอบต่อเหตุการระเบิดครั้งรุนแรงนี้

เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน กลุ่มก่อการร้ายกลุ่มนี้ยังได้อ้างความรับผิดชอบต่อการระเบิดที่มีรายงานว่าประชาชนเสียชีวิตเกือบ 30 คน ในเมืองหลวงของเยเมน

นักรบไอซิลยังได้อ้างความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ระเบิดรถยนต์เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน ที่เกิดขึ้นกับมัสยิดกุบัต อัล-มะฮ์ดีย์ ในเมืองหลวงของเยเมนอีกด้วย ซึ่งได้ทำให้มีผู้เสียชีวิตสามคนและบาดเจ็บ 16 คน

ซาอุดิอารเบียทำการโจมตีเยเมนมาเป็นเวลา 142 วันแล้วจนถึงขณะนี้ เพื่อที่จะคืนอำนาจให้กับประธานาธิบดีมันซูร ฮาดี ที่ลี้ภัยอยู่ ซึ่งเป็นพันมิตรใกล้ชิดกับริยาด

ฮาดีลาออกเมื่อเดือนมกราคม และปฏิเสธที่จะทบทวนการตัดสินใจและจะมีการเรียกร้องจากอันซอรุลลอฮ์ ที่เป็นขบวนการปฏิวัติของกลุ่มเฮาซีก็ตาม

ถึงแม้ริยาดจะอ้างว่ามันทำการทิ้งระเบิดโจมตีที่ตั้งของนักรบอันซอรุลลอฮ์ แต่เครื่องบินรบของซาอุดี้ฯ กำลังโจมตีพื้นที่อาศัยและโครงสร้างพื้นฐานของประชาชนจนราบเรียบ

การโจมตีของราชวงศ์นี้จนถึงปัจจุบันได้คร่าชีวิตประชาชนไปแล้วอย่างน้อย 5,392 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก