
ผู้นำโลกของชาวคริสเตียนที่ถูกปิดล้อมในซีเรียได้ขอร้องจากใจจริงต่อชาติตะวันตกว่าให้ “หยุดการให้อาวุธและการสนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายที่กำลังทำลายล้างประเทศของเราและกำลังสังหารหมู่ประชาชนของเรา”
อัครบิดรแห่งแอนติออก โมราน มอร์ อิกเนเชียส อาเฟรม ที่ 2 กล่าวว่า เขาไม่ได้ขอให้ชาติตะวันตกเข้าแทรกแซงทางทหารเพื่อปกป้องชาวคริสเตียน
ถ้าตะวันตกต้องการทำอะไรสักอย่างกับวิกฤติการณ์ในปัจจุบันนี้ สิ่งที่มีผลชะงัดมากที่สุดก็คือการสนับสนุนรัฐบาลของประเทศ ซึ่งต้องการกองทัพและกองกำลังที่เพียงพอเพื่อรักษาความมั่นคงและป้องกันประชากรทั้งหมดจากการโจมตี
“สถาบันต่างๆ ของชาติจำเป็นต้องได้รับการเสริมความแข็งแกร่งและเสริมความมั่นคง แต่สิ่งที่เราเห็นกลับเป็นการชำแหละชิ้นส่วนที่ได้รับการสนับสนุนมาจากข้างนอก” เขาบอกกับ Vatican Insider
อัครบิดรอาเฟรม ผู้นำคริสตจักรออร์โธดอกซ์ซีเรีย กล่าวว่า สิ่งที่สบประมาทศาสนามากที่สุดที่คนจะทำได้ก็คือ การเรียกมือระเบิดฆ่าตัวตายว่าเป็น “ผู้ยอมพลีชีพเพื่อศาสนา”
“ตลอดการเดินทางผ่านประวัติศาสตร์ คริสตจักรแห่งนี้เป็นคริสตจักรที่ประสบกับความยากลำบากมาตลอด” เขากล่าวเสริม โดยพูดในไม่กี่วันหลังจากเข้าพบกับพระสันตปาปาในกรุงโรม เขาเพิ่งกลับจากกามิชลี บ้านเกิดของเขาด้วย ซึ่งที่นั่นเขาได้พบกับผู้อพยพชาวคริสเตียนที่มาใหม่หลายพันคน ซึ่งได้หนีออกมาหลังจากพวกนักรบญีฮาดของรัฐอิสลามได้เข้าโจมตีเมืองฮัสซากี ในจังหวัดจาซีรา
ผู้ก่อการร้ายจากรัฐอิสลามที่เสียชีวิตขณะกำลังดำเนินการก่อความชั่วร้ายถือว่าความตายเช่นนั้นเป็นการพลีชีพ พวกเขาเชื่อว่ามันจะรับประกันการได้เข้าสวรรค์ของพวกเขา
อัครบิดรอาเฟรมโต้แย้งแนวความคิดนี้ เขาได้กล่าวว่า “การพลีชีพไม่ใช่การสังเวยถวายให้แก่พระเจ้า เหมือนกับการสังเวยถวายให้กับเทพเจ้านอกรีตทั้งหลาย ผู้ยอมพลีชีพชาวคริสเตียนไม่ได้ใช้การพลีชีพเป็นการแสดงถึงความศรัทธาของพวกเขา และพวกเขาไม่ได้จงใจที่จะหลั่งเลือดตัวเองเพื่อให้ได้ความโปรดปรานของพระเจ้า หรือเพื่อรางวัลบางอย่าง เช่น สวรรค์”
เมื่อเร็วๆ นี้เขาและคณะบาทหลวงที่โบสถ์ของเขาได้พูดคุยกับประธานาธิบดีอัสซาดของซีเรีย “ประธานาธิบดีอัสซาดกระตุ้นให้เราทำทุกอย่างที่เราสามารถทำได้เพื่อป้องกันไม่ให้ชาวคริสเตียนละทิ้งซีเรีย เขาบอกว่า ‘ผมรู้ว่าพวกเขากำลังยากลำบาก แต่ได้โปรดอย่าออกไปจากแผ่นดินนี้เลย มันเป็นบ้านของพวกคุณมาเป็นเวลาหลายพันปี เป็นก่อนที่อิสลามจะมาเสียอีก’ เขาบอกว่า ประเทศนี้ยังจำเป็นจะต้องมีชาวคริสเตียนด้วยเมื่อถึงเวลาที่ต้องสร้างประเทศที่ถูกทำลายล้างนี้ขึ้นมาใหม่”
เขาบอกว่า พลเมืองซีเรียส่วนใหญ่สนับสนุนรัฐบาลของอัสซาด และให้การสนับสนุนเสมอมา
“เรายอมรับผู้ปกครองที่ชอบธรรม และสวดอธิษฐานให้พวกเขา ตามที่พระคริสตธรรมใหม่สอนเราไว้ เรายังมองเห็นอีกด้วยว่าในอีกฝ่ายหนึ่งนั้น ไม่มีฝ่ายค้านตามระบอบประชาธิปไตย มีแต่กลุ่มหัวรุนแรงเท่านั้น เหนืออื่นใด เราเห็นว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กลุ่มเหล่านี้กระทำการโดยมีอุดมการณ์ที่มาจากภายนอก นำเข้ามาโดยนักสอนศาสนาที่มีแต่ความเกลียดชังที่มีที่มาและได้รับการหนุนหลังจากซาอุดิอารเบีย กาตาร์ และอียิปต์ กลุ่มเหล่านี้ได้รับอาวุธผ่านทางตุรกีด้วย ตามที่สื่อได้แสดงให้เราเห็น”
เขากล่าวว่า รัฐอิสลาม ไม่ใช่อิสลามในแบบที่ชาวซีเรียได้เรียนรู้และใช้ชีวิตเคียงข้างกันมาเป็นเวลานานหลายร้อยปี “มีกองกำลังที่เติมพลังให้กับมันด้วยอาวุธและเงิน เพราะมันมีประโยชน์กับสิ่งที่พระสันตปาปาฟรานซิสเรียกว่า “สงครามที่เกิดขึ้นทีละน้อย” แต่ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นตามอุดมการณ์ที่ผิดเพี้ยนทางศาสนา ที่อ้างว่าได้รับแรงบันดาลใจจากคัมภีร์กุรอาน”