เกือบสองเดือนในการทำสงครามกับเยเมน – เปลี่ยนยุทธศาสตร์หนึ่งครั้งและหยุดยิงสองครั้งในเวลาต่อมา – และดูเหมือนว่าซาอุดิอาระเบียยังไม่ได้เข้าใกล้เป้าหมายใดๆ ของตนเลยในประเทศที่ยากจนที่สุดและปกครองยากที่สุดของคาบสมุทรอาหรับแห่งนี้ แต่ในเมื่อราชอาณาจักรเองก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าอะไรคือสิ่งที่ตนต้องการจะเห็นในปฏิบัติการครั้งนี้ โลกก็คงจะไม่มีใครรู้อีกแล้ว
ที่จริงแล้ว จะมีการล้มเหลวได้อย่างไรหากว่าไม่มีการตั้งเป้าหมายใดเอาไว้? แต่ทว่าบางที ริยาดอาจจะมองการณ์ไกล ด้วยการเว้นที่ว่างไว้อย่างเพียงพอบนโต๊ะเจรจาเพื่อการถอนตัวที่สามารถยอมรับได้จากปลักในเยเมน
ไม่ว่าเยเมนจะยากจน ล้าหลังทางเทคโนโลยี และมีแต่ความวุ่นวายไปทั่วเพียงใดก็ตาม แต่ประชาชนในชาติมีความยึดมั่นกับแผ่นดินของพวกเขาอย่างแรงกล้า และได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเมื่อมีการเผชิญหน้ากัน เยเมนไม่เพียงเป็นฝ่ายตรงข้ามที่น่ายกย่องเท่านั้น หากแต่ยังทรงพลังอีกด้วย
อย่างเช่นพันโทเยเฮีย มุฮัมมัด ซาเลห์ หลานชายของอดีตประธานาธิบดีอาลี อับดุลลาห์ ซาเลห์ และอดีตผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความมั่นคงส่วนกลาง ที่ได้เตือนในการให้สัมภาษณ์โทรทัศน์ภาษาอาหรับแห่งหนึ่งจากเบรุต ประเทศเลบานอนเมื่อต้นเดือนมีนาคมว่า “ชาวเยเมนมีนิสัยชอบต่อต้านกับผู้รุกรานต่างชาติ… หลายคนเข้ามา แต่น้อยคนนักที่จะมีชีวิตอยู่ได้บนขาสองข้าง”
และอันที่จริง เมื่อไม่นานที่ผ่านมา ในปี 1962 ชาวซาอุดี้ฯ, อียิปต์ และปากีสถานหลายพันคน ได้เรียนรู้ว่าชาวเยเมนไม่ใช่จะปราบได้ง่ายๆ ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะมีอำนาจทางทหารเหนือกว่าก็ตาม เมื่อพิจารณาดูแล้ว การจะชนะสงครามได้ต้องใช้คนไม่ใช่เครื่องจักร และเหมือนอย่างที่เป็น ชาวเยเมนถูกสร้างขึ้นมาจากอาณาจักรโลหะที่ยังทำลายไม่ได้ และหลายคนได้พยายามแล้ว
ชาวเยเมนไม่เพียงแค่เป็นอิสระจากความผิด พวกเขายังเป็นนักเลงอีกด้วย ในประเทศที่การเจรจาไม่ได้เป็นเพียงแค่กีฬาแห่งชาติแต่เป็นวิถีชีวิตนั้น การเมืองเป็นสนามที่ยากลำบากในการลงเล่น ประธานาธิบดีซาเลห์ไม่ได้พูดเล่นเมื่ออ้างถึงความสามารถของเขาในการเต้นบนหัวงู
ถ้าราชวงศ์อัลซาอูดทึกทักเอาเองว่าเยเมนจะเต้นไปตามจังหวะปิโตรดอลล่าร์ของตน มันก็คาดผิดที่คิดว่านักการเมืองเยเมนจะไร้ความสามารถในการบรรลุถึงฉันทามติใดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะนี้ที่ช่องทางแห่งอำนาจของประเทศดูเหมือนจะถูกทิ้งว่างไว้ พร้อมที่จะได้เห็นการผงาดขึ้นมาของผู้มีอำนาจรุ่นใหม่
และถึงแม้ว่าพรรคการเมืองในเยเมนหลายพรรค เช่น อัล-อิสลาห์ (กลุ่มซุนนีสายสุดโต่งที่เป็นกำบังให้แก่กลุ่มภราดรภาพมุสลิม หรือกลุ่มซาลาฟีอื่นๆ), อัล-ฮารัก (ขบวนการแบ่งแยกดินแดนภาคใต้) หรือ JMP (Joint Meeting Parties : แนวร่วมของอดีตฝ่ายต่อต้านอดีตประธานาธิบดีอาลี อับดุลลาห์ ซาเลห์) จะได้แสดงออกถึงความเป็นเอกภาพระดับหนึ่งในมุมมองของการต่อต้านเฮาซี (กลุ่มชนเผ่าที่จัดตั้งขึ้นภายใต้การนำของเชค อับดุลมาลิก อัล-เฮาซี) แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีพรรคใดที่พิสูจน์ให้เห็นว่ามีความสามารถในการค้นหาพื้นฐานทางการเมืองที่เหมือนกันมากพอที่จะจัดตั้งพรรคฝ่ายค้านที่เหนียวแน่นได้ที่แย่ไปกว่านั้น การตั้งชื่อทางการเมืองเหล่านั้นส่วนใหญ่ได้แยกออกเป็นกลุ่มย่อย และพรรคย่อยต่างๆ ทำให้ซาอุดี้ฯ ต้องเล่นเกมปริศนากับแผนที่ทางการเมืองที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้นของเยเมน
เมื่อถูกพันยุ่งเหยิงอยู่กับสงครามที่ไม่สามารถเอาชนะได้จากทางอากาศ ไม่ว่าจะปล่อยลูกกระสุนใส่ชาติที่ยากจนที่สุดในอาหรับแห่งนี้มากแค่ไหน และไม่สามารถที่จะแสดงเจตน์จำนงทางการเมืองมากพอที่จะส่งกำลังทหารทางพื้นดิน ซาอุดี้ฯ ก็ติดแหง็กอยู่ระหว่างโขดหินกับพื้นที่แข็ง ถ้าตอนนี้พวกเขาเล่นบทผู้ชนะต่อหน้าสื่อ ก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าไม่มีประเทศใดในแนวร่วมภายใต้การนำของซาอุดี้ฯ ที่ต้องการจะส่งกำลังทหารของตนเข้าสู่สงครามที่น่าจะจบลงด้วยความล้มเหลวอย่างย่อยยับ
ปากีสถาน มาเลเซีย และอียิปต์ ได้สละสิทธิ์ที่จะสู้รบในสงครามของราชอาณาจักรนี้ไปแล้วอย่างสุภาพ เรื่องราวที่ไม่ถูกรายงานออกไปนี้เทียบได้เท่ากับเป็นการขบถถ้าหากมีใครสนใจที่จะคำนวณถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นตามมากับการปฏิเสธเช่นนี้ ซาอุดิอารเบียไม่สามารถที่จะบังคับให้เกิดการยินยอมทางการเมืองในภูมิภาคได้อีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อยืนอยู่ตรงข้ามกับฉากหลังที่ดาวแห่งอิหร่านและรัสเซียกำลังปรากฏขึ้นมา
และถ้าหากราชอาณาจักรนี้ไม่สามารถเรียกพลังเพื่อรวบรวมแนวร่วมทางทหารที่เหนียวแน่นมาอยู่ฝ่ายตนได้ อีกนานแค่ไหนมันจึงจะพิสูจน์ได้ว่าไม่มีความสามารถที่จะป้องกันดินแดนของตัวเองได้? และนั่นคือทฤษฎี เฮาซีมีความกระตือรือร้นต่อการทดสอบ
สื่อกระแสหลักรู้กันน้อยมากในเรื่องที่เฮาซีได้ข้ามเข้าไปในจังหวัดนัจรอน และกิซาน ทางภาคใต้ของซาอุดิอาระเบียเป็นประจำ เพื่อดำเนินการปฏิบัติการทางทหารมาตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน หลายครั้งที่ด่านทหารถูกบุกรุก เมืองถูกระเบิด และคลังอาวุธถูกปล้น
ที่น่าสนใจและน่าบอกเล่าอย่างยิ่งก็คือ เฮาซีจำกัดขอบเขตการจู่โจมของพวกเขาอยู่ภายในดินแดนที่เคยเป็นของเยเมนมาจนกระทั่งถึงปี 1994 ดังที่อับดุลมาลิก อัล-เฮาซีได้เตือนไว้ในคำปราศรัยล่าสุดของเขาเมื่อ 20 พฤษภาคม 2015 ว่า “เยเมนจะได้เห็นอธิปไตยเหนือดินแดนของตนถูกกอบกู้คืนมาครบถ้วน”
ตามที่ผู้เชี่ยวชาญจำนวนนับไม่ถ้วนได้เตือนเอาไว้ เยเมนกับซาอุดิอาระเบียนั้นอาจจะเป็นเหมือนที่อัฟกานิสถานเคยเป็นสำหรับสหรัฐฯ นั่นก็คือ เป็นความกระอักกระอ่วนทางการทหารครั้งสำคัญ และเป็นการผลาญทรัพยากรราคาแพงของซาอุดี้ฯ
จนถึงขณะนี้ยังไม่มีสิ่งใดเป็นไปในทางที่มันควรจะเป็น เฮาซีจัดการโต้ตอบทางการทหารไปตามความมุ่งหมาย เผ่าต่างๆ ให้สัตยาบรรณที่จะทำสงครามกับซาอุดี้ฯ และประชาชนทางตอนเหนือก็ไม่ยอมที่จะปฏิเสธกลุ่มหนึ่งนี้ที่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามีความยินดีที่จะยืนหยัดเพื่อความเปลี่ยนแปลงที่สัมผัสได้
ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม เฮาซี ซึ่งได้รับการหนุนหลังจากกองทัพและกองกำลังชั้นยอดของเยเมน ได้ขยายการยึดพื้นที่ในเยเมนออกไป ฮัซรอเมาท์, อับยัน, เอเดน และทาอิซ ล้วนได้เสียดินแดนให้แก่เฮาซี
และถึงแม้ว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ของเยเมนใต้ยังคงมุ่งมั่นที่จะผลักดันเฮาซีออกไป แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าส่วนใหญ่เหล่านั้นจะสนับสนุนซาอุดี้ฯ หรือฮาดี (ประธานาธิบดีที่ลาออกหนึ่งครั้ง และหนีสองครั้งของเยเมน)
เมื่อปลอดภัยจากนักการเมืองเยเมนบางคนที่ถูกเนรเทศในริยาด แต่อัล-ซาอูดก็สูญเสียหูตาของผู้มีอำนาจเหล่านั้นในประเทศซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ และแม้แต่การติดต่อภายในกรมกองต่างๆ ก็ขาดหายไปด้วย
จากแหล่งข่าวในริยาด ฮาดีติดอยู่ในการต่อสู้รุนแรงกับนายกรัฐมนตรีคอลิด บาฮาห์ ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้ง “ใหม่” (อดีตผู้จัดการบริษัทน้ำมันแห่งหนึ่ง) และอับดุลการีม อัล อีรียานี อดีตที่ปรึกษาอาวุโสของประธานาธิบดีซาเลห์ และครั้งหนึ่งเคยเป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อเหลือนักการเมืองให้ควบคุมน้อยลงในการเปลี่ยนผ่านอำนาจของเยเมนครั้งต่อไป ราชอาณาจักรแห่งนี้ก็กำลังจมลงในทรายดูดของเยเมน
อีกนานแค่ไหนก่อนที่คฤหาสต์ทั้งหลังจะพังครืนลงมา?
ในเกมชิงบัลลังก์ที่ราชอาณาจักรแห่งนี้กำลังพยายามสร้างขึ้นนี้ อัล-ซาอูดอาจจะสูญเสียมากกว่าที่พวกเขาเคยต่อรองไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเฮาซีและพันธมิตรของพวกเขาไม่มีอะไรให้เสีย แต่สิ่งนี้ยิ่งจะทำให้พวกเขามีอำนาจมากขึ้นอย่างแท้จริง
——-
เขียน http://journal-neo.org/2015/05/26/saudi-arabia-how-yemeni-politicians-are-not-playing-nice/แปลเรียบเรียง กองบก.เอบีนิวส์ทูเดย์
Source