
ครบรอบ 70 ปีแห่งการล่มสลายของนาซีเยอรมนี แต่ลัทธิฟาสซิสม์ยังคงห่างไกลจากความตายนัก ขณะที่เลือดของชาวเยเมนหลั่งไหลภายใต้สงครามครั้งใหญ่ของซาอุดิอารเบีย แท้ที่จริงแล้วสิ่งที่มันแสดงให้เราเห็นอยู่ก็คือ การทำลายล้างประชาชนกลุ่มหนึ่ง นั่นก็คือ ชาวซัยดีแห่งเยเมน
ถ้าหากซาอุดิอารเบีย มหาอำนาจแห่งภูมิภาคที่แข็งแกร่งด้วยเงินหลายล้านล้านเปโตรดอลล่าร์ จะได้ปกครองตะวันออกกลาง และแผ่ขยายไปทั่วโลกอิสลามโดยไม่มีผู้ทักท้วง มันก็จะทำได้ด้วยราคาแห่งเสรีภาพและความเจริญของประชาชนเยเมนได้รับความเดือดร้อนจากเพื่อนบ้านทรราชย์ที่ทรงอิทธิพลและร่ำรวยมากกว่าประเทศอื่นใดในภูมิภาคนี้
ด้วยถูกบีบให้สวมบทบาทของเบี้ยล่างที่ถูกกระทำ เยเมนถูกขัดขวางจากการขึ้นถึงศักยภาพที่แท้จริงของตนผ่านเครือข่ายอันชาญฉลาดของการติดสินบน การสนับสนุนทางศาสนา และวิศวกรรมสังคม นับตั้งแต่ประเทศที่ยากจนที่สุดทางใต้ของอารเบียแห่งนี้พยายามที่จะปลดตัวเองออกจากพันธนาการของทรราชย์เมื่อปี 1962 ริยาดก็ได้เอารัดเอาเปรียบเยเมน ด้วยการก่อวินาศกรรมแล้วเข้าควบคุมจัดการ การรุกรานดินแดนและบ่อนทำลายสถาบัน ทั้งหมดนั้นก็เพื่อปรับเกมก่อกวนของชนเผ่าให้เข้ากับกระแสการแบ่งแยกทางลัทธิความเชื่อ
จ้าวแห่งอารเบีย ราชอาณาจักรนี้เป็นผู้รับผิดชอบต่อความระส่ำระสายส่วนใหญ่ ถ้าไม่ใช่ทั้งหมด ที่เราเห็นว่ากำลังเกิดขึ้นในภูมิภาคนี้
แต่กลับไปที่เยเมน!
เยเมนคงเป็นหอกข้างแคร่ของอัล-ซาอูดอยู่เสมอ เป็นภัยคุกคามต่อความทะเยอทะยานครอบครองอำนาจบาตรใหญ่ของอัลซาอูด
ดังที่อิบนฺ ซาอูด (ผู้จงรักภักดีต่อราชวงศ์ซาอูด) ได้สารภาพไว้ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมาว่า เยเมนจะทำลายความเป็นเจ้าครองอำนาจแห่งภูมิภาคของซาอุดิอาระเบีย บางคนอาจจะให้เหตุผลว่า คำเตือนนี้อาจจะเป็นตัวกำหนดนโยบายของริยาดต่อเยเมนก็ได้ โดยเพิ่มความหวาดระแวงต่อประเทศที่คุมยากที่สุดและตอนนี้ยากจนที่สุดในคาบสมุทรแห่งนี้
เมื่อถูกทำลายด้วยความเสียหายที่ระบาดไปทั่ว, ความไม่มั่นคง, ความไร้เสถียรภาพทางการเมือง ความไม่ยุติธรรมทางสังคม และความรู้สึกสิ้นหวังที่เกินจะแบกรับและมีแต่จะขยายออกไป ทำให้เยเมนกลายเป็นแค่เปลือกของตัวตนในอดีตของมัน เป็นแกลบทางสถาบันที่ไม่มีความยึดเหนี่ยวทางสังคมหลงเหลือไว้ให้ยึดมั่นไว้ด้วยกันเลย
แต่ถ้าหากเยเมนได้กลายเป็นสิ่งที่เป็นในวันนี้ มันก็เป็นเพราะการวางแผนของซาอุดี้ฯ การล่มสลายของเยเมนถูกจัดการโดยซาอุดี้ฯ มาตั้งแต่ปี 1994 แล้ว เมื่อครั้งที่กษัตริย์ฟาฮัด บิน อับดุลอาซิซในขณะนั้น พยายามที่จะประคับประคองความเป็นมิตรแบบหลวมๆ ระหว่างเผ่าต่างๆ กับกลุ่มซุนนีหัวรุนแรง เพื่อทำหน้าที่เป็นตัวต้านทานอำนาจกับประธานาธิบดีอาลี อับดุลลอฮ์ ซาเลห์ ในขณะนั้น เพื่อแลกเปลี่ยนกับการสนับสนุนทางทหารเพื่อต่อสู้กับอัล-ฮิรอค ขบวนการแบ่งแยกดินแดนภาคใต้ เพื่อเป็นแก่ความเป็นเอกภาพทางดินแดน ประธานาธิบดีซาเลห์ได้ส่งมอบอนาคตของเยเมนไว้ในเงื้อมมือตะกรุมตะกรามของซาอุดี้ฯ โดยไม่รู้เลยว่าเขาต้องจ่ายค่าแห่งสัมพันธมิตรนี้มากเพียงใดในท้ายที่สุด
และอัล-อิสลาห์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นที่คุ้มภัยให้กับกลุ่มภราดรภาพมุสลิม ก็ถูกกำเนิดมาเพื่อเป็นตัวแทนของริยาดในซานาอฺ
กลุ่มเดียวกันนี้จะทำหน้าที่เป็นโล่ห์ป้องกันและมือที่อุ้มชูสำหรับวะฮาบีและซาลาฟีเช่นกัน ซึ่งเป็นขบวนการทางศาสนาที่เรารู้แล้วว่าได้ก่อให้เกิดกลุ่มก่อการร้ายต่างๆ เช่น อัล-กออิดะฮ์ และไอซิซ
เมื่อเผชิญกับเยเมนที่มีอิสระทางการเมืองเพิ่มมากขึ้น ริยาดเลือกที่จะเข้าไปแทรกก่อนที่เฮาซีจะสามารถสำแดงความเป็นพันธมิตรทางชนเผ่าและการเมืองได้อย่างแท้จริง และตอบสนองต่อเสียงเรียกร้องที่จะให้มีตัวแทนทางการเมืองที่ยุติธรรมมากขึ้นของชาวเยเมน
ด้วยความเสี่ยงที่จะสร้างความผิดหวังให้กับเรื่องราวของสื่อตะวันตก และเจตนารมณ์ในเยเมนที่อ้างขึ้นเองของซาอุดิอาระเบีย ประชาธิปไตยและความชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งในสมการของริยาดเลย ความทะเยอทะยานทางโลกมากกว่าที่เป็นตัวกระตุ้นราชวงศ์อัล-ซาอูด ทรัพยากรธรรมชาติและภูมิศาสตร์การเมืองมีคะแนนนำอยู่ในรายการนั้น
แต่นั่นก็ไม่ใช่ทั้งหมด อุดมคติ หรือน่าจะเป็นการปะทะกันทางอุดมคติทางศาสนามากกว่า ที่มีบทบาทในการกระตุ้นให้เกิดสงครามกับเยเมนที่นำโดยซาอุดี้ฯ ครั้งนี้ และที่นั่นมีความชั่วร้ายที่โลกนี้ยังไม่ตื่นขึ้นมารับรู้ถึงมันอยู่
กว่าหนึ่งเดือนในการแทรกแซงทางทหารครั้งใหญ่และฝ่ายเดียวในเยเมนแล้ว และมันปรากฏชัดเจนแล้วว่าซาอุดิอารเบียไม่ได้เลือกเป้าเฉพาะแค่กลุ่มเฮาซีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงชุมชนซัยดีของเยเมนทั้งหมดด้วย
เนื่องจากการปฏิเสธแนวคิดแบบวะฮาบี ชาวซัยดีเยเมนจึงถูกนักการศาสนาซาลาฟีและวะฮาบีตราหน้าว่าเป็น “คนนอกศาสนา” ซึ่งถือเป็นความผิดทางศาสนาที่ต้องจัดการด้วยการทำลายล้าง ย้อนกลับไปในปี 2009 ระหว่างการให้สัมภาษณ์สดทางทีวีกับช่องบีบีซี ภาษาอาหรับ อาเดล อัล คัลบานี อิหม่ามเมืองมักกะฮ์ได้สารภาพถึงความเกลียดชังที่เขามีต่อมุสลิมชีอะฮ์ทั้งหมด เมื่อเขาเรียกร้องให้ไล่ล่าและสังหารพวกเขา ล่าสุดไปกว่านั้น เมื่อเดือนเมษายน 2013 ซาอัด อัล ดูริฮิม นักการศาสนาชาวซาอุดี้ฯ คนหนึ่ง ได้โพสต์แสดงความคิดเห็นหลายตอนทางทวิตเตอร์ที่เขาได้สนับสนุนให้กองทหารในอิรักแสดงวิธีการ “ที่หนักมือ” ยิ่งขึ้นเมื่อจัดการกับมุสลิมชีอะฮ์ และฆ่าชีอะฮ์ทุกคนที่พวกเขาพบเห็น ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง ผู้ชาย หรือเด็กๆ ถ้อยแถลงเช่นนั้นเป็นการแสดงออกของระบอบการปกครองแบบขวาจัดทางศาสนาที่เข้มงวดของซาอุดิอารเบีย
จำเป็นที่จะต้องชี้ชัดว่าแนวทางอย่างเป็นทางการของซาอุดิอาระเบียที่มีต่อมุสลิมชีอะฮ์นั้น สะท้อนเสียงเดียวกันกับทั้งอัล-กออิดะฮ์และไอซิซ ซึ่งเป็นกลุ่มที่สตีเฟ่น เลนด์แมน นักวิเคราะห์การเมืองและนักเขียนชาวสหรัฐฯ ได้กล่าวไว้ว่า เป็นแค่หน่อที่แตกมาจากการสร้างเผด็จการทางศาสนาของซาอุดี้ฯ
แต่ถ้า “นโยบาย” ทางศาสนาของซาอุดิอารเบียไม่สามารถแม้แต่จะเรียกความสนใจจากนักลงทุนตะวันตกได้ มันก็ยิ่งเป็นการยากลำบากมากขึ้นที่จะเมินเฉยต่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ทางวัฒนธรรมและศาสนาที่กำลังเกิดขึ้นในเยเมน
ขณะนี้เป็นเวลาหลายสัปดาห์แล้วที่ซาอุดิอารเบียทำการบดขยี้เมืองซาอฺดาและอีกหลายดินแดนข้างเคียง ไม่มีการคำนึงถึงความปลอดภัยของพลเรือนในความปรารถนาที่จะปราบมุสลิมซัยดีให้ราบคาบ
อาจมีผู้แสดงความเห็นว่า จริงๆ แล้วริยาดมีเป้าหมายเฉพาะเจาะจงไปที่พลเรือน ด้วยเหตุผลอื่นใดอีกเล่าที่ซาอุดี้ฯ ต้องใช้ระเบิดดาวกระจาย (cluster bomb) ในพื้นที่ที่มีประชาชนอาศัยอยู่หนาแน่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการศึกษาหลายครั้งได้ระบุว่า อาวุธเช่นนั้นเป็นภัยคุกคามต่อชีวิตพลเรือน? จากข้อมูลขององค์การทำขาเทียมระหว่างประเทศ (handicap international) ระบุว่า 27 เปอร์เซ็นต์ของเหยื่อจากระเบิดดาวกระจายที่ถูกบันทึกไว้ทั้งหมดนั้นเป็นเด็ก
นักเคลื่อนไหวในเยเมน รวมถึงฮุเซน อัล-บุคัยตี ได้กล่าวหาว่าริดยาดใช้สารเคมี เช่น คลอรีน และฟอสฟอรัสขาวในเมืองซาอฺดา ฮาจา และแม้แต่ในซานาอฺ ที่เป็นเมืองหลวง
ภายหลังจากที่เฮาซีได้ทำการโจมตีบนแผ่นดินซาอุดี้ฯ เมื่อต้นสัปดาห์ที่แล้ว โฆษกแนวร่วมซาอุดี้ฯ พันเอกอาห์มัด อัล อาซีรี เตือนว่าการเอาคืนของริยาดจะรวดเร็วและรุนแรง และที่จริงมีพลเรือนหลายแสนคนที่อยู่ในวิถีอันตราย ที่ติดอยู่ในซานาอฺ ภายใต้การทิ้งระเบิดแบบไม่ยั้งคิดนี้ ซาอุดิอาระเบียโปรยระเบิดใส่พื้นที่ของ “ชาวซัยดี” ในเยเมนแห่งนี้เป็นเวลา 24 ชั่วโมง โดยไม่มีการทักท้วง ไม่มีการตั้งคำถาม จากมหาอำนาจตะวันตกที่เป็นใบ้และหูหนวก
แต่ถ้าการบาดเจ็บล้มตายของพลเรือนเป็นเหยื่อแรกของสงครามบ่อยครั้ง จะเกิดอะไรขึ้นกับการล้างเผ่าพันธุ์ทางวัฒนธรรม? ชาติหนึ่งชาติใดจะสามารถให้เห็นผลการทำลายสถานที่ที่เป็นสัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์และศาสนาได้อย่างไร? เมื่อ 8 พฤษภาคม ซาอุดิอารเบียได้ทำลายวิหารสุสานของเชคอุเซน บัดริดดีน อัล เฮาซี จนเหลือแต่ซาก หลังจากนั้นไม่กี่วัน อนุสรณ์ศักดิ์สิทธิ์ของเยเมนอีกแห่งหนึ่งก็ถูกได้ทำลายไป คือมัสยิดอัล-ฮาดี ซึ่งเป็นมัสยิดหลังที่สามที่ถูกสร้างขึ้นในเยเมนเมื่อหนึ่งพันปีที่แล้ว ถ้าไม่ใช่ความเกลียดชัง แล้วจะสามารถให้เหตุผลกับการกระทำเช่นนั้นว่าอะไร?
หากว่าโลกร่วมกันประณามไอซิซจากการทำลายมรดกของอิรักและซีเรีย ทำไมจึงนิ่งเงียบกับอาชญากรรมของซาอุดิอาระเบีย? หรือเป็นเพราะเงินที่ชำระอาชญากรรมสงครามให้ขาวสะอาดขึ้นได้ในปัจจุบันนี้?
ในวาระครบรอบ 70 ปีการล่มสลายของลัทธิฟาสซิสม์ สหรัฐฯ และสหภาพยุโรปอาจต้องการที่จะลืมตาขึ้นมามองสันดานในเนื้อแท้ของพันธมิตรของตนก็ได้
—-
by Catherine Shakdam for RT.
Source http://rt.com/op-edge/258661-saudi-war-yemen-zaidis/
แปล/เรียบเรียง กองบก.เอบีนิวส์ทูเดย์