จากเหตุการณ์กราดยิงในกรุงปารีส เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน โดยผู้ก่อเหตุเชื่อมโยงกับกลุ่มมุสลิมสุดโต่ง ทำให้ แหล่งข่าว “Kantrpanch ” จับบทวิเคราะห์เชิงรายงานประวัติศาสตร์มุสลิม และวัฒนธรรมอิสลาม ในมุมมอง “รากเหง้าแห่งการปรากฏตัวของความรุนแรงในหมู่พี่น้องมุสลิม”
Kantrpanch ระบุ ว่า อิสลามหาใช่เป็นแค่มัศฮับ หรือนิกายเท่านั้น ทว่าอิสลามมีวัฒนธรรมที่ลุ่มลึกและมั่นคั่งอย่างมาก ที่ได้มอบให้กับมวลมนุษย์ชาติเป็นผลผลิตแห่งความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในด้านต่างๆ เช่น ศาสตร์ความรู้ สถาปัตยกรรม วรรณคดีและศิลปะ ตลอดหน้าประวัติศาสตร์ได้ประจักษ์ชัดแล้วว่าบรรดาพี่น้องมุสลิมได้ทิ้งมรดกอันล้ำค่าบนพื้นฐานโครงสร้างของสังคม อาทิเช่น การสร้างโรงพยาบาล หรือสถาบันศึกษาชั้นสูง เช่น มหาลัย “อัลกะรูนียน”ในโมร็อกโค ซึ่งการให้ความสำคัญต่อระบบโครงสร้างขั้นพื้นฐานทางสังคมของบรรดานักการมุสลิมถือเป็นปรกติวิสัย และไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของรัฐบาลฝ่ายซ้ายของตะวันตกแต่ประการใด
อังกฤษและอเมริกาคือผู้สร้างวะฮาบีซาอุและกลุ่มอนุรักษ์นิยมอิสลาม
ในวันนี้ทุกกลุ่มขบวนการอิสลามหัวรุนแรงอยู่ภายใต้อาณัติของวะฮาบีทั้งสิ้น ซึ่งวะฮาบีกลุ่มดังกล่าวมีหลักคิดอนุรักษ์นิยมแบบอิสลาม เป็นผู้กำหนดชะตากรรมทางการเมืองในซาอุดิอาระเบีย กาตาร์และชาติพันธมิตรในอ่าวเปอร์เซีย
ในประเด็นนี้ ทางแหล่งข่าว Kantrpanch ได้อ้างอิงบทวิเคราะห์ของ ดร. อับดุลลอฮ์ มุฮัมมัด ซีนดีย์ ได้รายงานว่า ประวัติศาสตร์ในอดีตมันเป็นสิ่งบ่งชี้ว่า ปราศจากการช่วยเหลือของอังกฤษแล้ว วะฮาบีและราชวงศ์ซาอุฯไม่อาจมีตัวตนได้อย่างแน่นอน ส่วนอเมริกาเองขณะที่ออกมากล่าวอ้างพาดพิงว่าซาอุฯมีส่วนพัวพันกับเหตุการณ์ 11 กันยา แต่ก็ยังให้การสนับสนุนวะฮาบีและราชวงศ์ซาอุฯ ทั้งทางตรงและทางอ้อม วะฮาบีมีหลักคิดที่รุนแรง อนุรักษ์นิยม สุดโต่ง และคับแคบ
ในปี 1980 ช่วงเหตุการณ์สู้รบระหว่างสหภาพโซเวียตกับอัฟกานิสถาน ตะวันตกให้การสนับสนุนทั้งด้านงบประมาณ อาวุธยุทโธปกรณ์ แก่พวกวะฮาบี เหล่าบรรดามุญาฮิดีนของวะฮาบีจากประเทศต่างๆก็หลั่งไหลเข้าสู่อัฟกานิสถาน เพื่อสู้รับกับกองกำลังทหารสหภาพโซเวียต และกองกำลังทหารรัฐบาลฝ่ายซ้ายของอัฟกานิสถาน
ตามเอกสารของกระทรวงต่างประเทศอเมริกา “อุสามะห์ บินลาเดน” ผู้นำอัลกออิดะห์ ก็เป็นหนึ่งในนักรบของวะฮาบี ที่เข้าร่วมรบในอัฟกานิสถานครั้งนั้นด้วย
ไอซิส เป็นกลุ่มล่าสุดของผลผลิตแห่งการสร้างของอเมริกา
กลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นต่างได้รับการส่งเสริม สนับสนุนและปลุกระดมจากสหรัฐอเมริกา จากนั้นก็หลั่งไหลสู่ประเทศต่างๆ ซึ่งกรณีตัวอย่างล่าสุดคือการปรากฏตัวของกลุ่มก่อการร้ายไอซิส กลุ่มนี้ถูกสร้างและผ่านการฝึกทักษะในค่ายผู้ลี้ภัยเขตแดนซีเรีย –ตุรกี และเขตแดนซีเรีย- จอร์แดน ภายใต้การสนับสนุนทางการเงิน และอาวุธจากชาติต่างๆและการสนับสนุนจากกองกำลังนาโต้เพื่อสู้รบกับรัฐบาลบัชชาร์ อัสซาดในซีเรีย
ตามรายงานระบุว่า ตะวันตกได้ใช้กลุ่มก่อการร้ายนี้ในหลายทิศทางเพื่อบรรลุซึ่งความละโมบและผลประโยชน์ของตนเอง ในก้าวแรกใช้กลุ่มนี้เป็นเครื่องมือของตะวันตกในการทำสงครามกับศัตรูที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย และขั้นต่อมา หลังจากที่พวกเขาหมดอำนาจในการควบคุมแล้ว ตะวันตกก็ได้ใช้เป็นข้ออ้างสำหรับการแทรกแซงเพื่อหวังที่จะพัฒนาและเผยแพร่คำสอนของการต่อสู้กับกลุ่มการก่อการร้ายเพื่อการแผ่อำนาจปกครองทั่วโลก
ขั้นตอนการทำลายภาพลักษณ์อิสลามสู่สัญลักษณ์กลุ่มก่อการร้ายโดยตะวันตก
เป้าหมายในการนำเสนอข่าวสารต่างๆที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มก่อการร้ายมุสลิมสุดโต่ง ก็เพื่อนำเสนอแนวคิดให้กับประชาคมโลกว่า กลุ่มดังกล่าวเป็นภัยคุกคาม เป็นกลุ่มที่อันตรายที่สุด ดังนั้นตะวันตกควรเข้าไปควบคุมสถานการณ์และทำลายรากเหง้าต่างๆของขบวนการกลุ่มก่อการร้ายเหล่านี้
ด้วยเหตุนี้ตะวันตกได้ใช้ประโยชน์จากสื่อโฆษณาหลักๆที่กว้างขวางของตน อีกทั้งพึ่งพาอาศัยความสามารถและความแข็งแกร่งของนักทฤษฎีต่างๆของตน ในการสร้างและเปลี่ยนอารยะธรรมแห่งความสันติ ความก้าวหน้า ให้กลายเป็นภัยคุกคามครั้งร้ายแรง และเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มก่อการร้ายในต่อมา
ผลของการดำเนินการเช่นนี้ได้สังเวยชีวิตผู้บริสุทธิ์มาแล้วนับหมื่นชีวิต
ความเสียหายที่บรรดานักล่าอานานิคมได้ก่อไว้แก่ประชาชาติอิสลาม มันร้ายแรงและหนักกว่าการทำลายวัฒนธรรมของพวกเขาเสียอีก ตะวันตกมีบทบาทอย่างสูงในการสกัดกั้นการศึกษาในหมู่พี่น้องมุสลิม ยับยั้งการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆในหมู่พวกเขา
เบื้องต้นตะวันตกได้ใช้ประโยชน์จากศาสตร์วิชาการแขนงต่างๆของอิสลามอย่างมากมาย ซึ่งในความเป็นจริงแล้วอิสลามได้วางรากฐานและก่อตั้งยุคฟื้นฟูวิทยาการแห่งชาติยุโรป หลังจากนั้น เมื่อยุโรปได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่แล้วก็หันกลับมาต่อสู้ทำลายวิทยาการอิสลามเหล่านี้ ซึ่งการทำลายมีขึ้นในหลายๆรูปแบบด้วยกัน อาทิเช่น ทำลายสถาบันการศึกษามุสลิม สังหารนักวิชาการอิสลามและบิดเบือนหลักประวัติศาสตร์ให้เอื้อประโยชน์แก่ตน
จากปฏิกิริยาอันนี้ทำให้โลกอิสลามได้รับความเสียหายอย่างหนัก และตลอดระยะเวลานั้นเป็นต้นมาก็ได้แต่ออกมาแสดงจุดยืนปกป้องเท่านั้น ซึ่งตะวันตกก็ได้แยก การศึกษา การประนีประนอม และการอยู่ร่วมกันทางสังคมอย่างสันติวิธีออกจากวัฒนธรรมที่เป็นแรงดึงดูดของอิสลาม
ในปัจจุบันประเทศอิสลามส่วนใหญ่ถูกปกครองโดยผู้ปกครองจอมเผด็จการที่ถูกกุมบังเหียนโดยตะวันตก ตะวันตกผู้ซึ่งได้บ่อนทำลายวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นและประชาชาติในแถบอเมริกากลาง อเมริกาใต้และแอฟริกา มาแล้ว ก็ยังคงมุ่งเป้าที่จะทำลายวัฒนธรรมของพี่น้องมุสลิมอีกต่อไป ซึ่งดูแล้ว จะเห็นว่า ตะวันตกจะพยายามทำลายรากฐานทั้งหมดที่ไม่ได้วางอยู่บนพื้นฐานของคริสต์ศาสนา
ทุกครั้งที่ชาติอิสลามมีความพยายามที่จะคืนสู่ฐานแท้ของตนแห่งการเป็นชาติอิสลามที่สมบูรณ์แบบ เช่น อิหร่าน อินโดนีเซีย อียิปต์ และล่าสุด อิรักและซีเรีย ชาติต่างๆเหล่านี้กลับต้องเผชิญหน้ากับความรุนแรงของตะวันตก และพวกเขาไม่ให้ความสำคัญต่อการเรียกร้องของประชาชนเหล่านี้
ในทศวรรษนี้ รัฐเถื่อนไซออนิสต์และชาติตะวันตกกลับไม่เห็นด้วยในการคืนสิทธิแห่งเสรีภาพ และการกำหนดชะตากรรมของชาวปาเลสไตน์ ปรากฏการณ์ ที่เราเรียกว่า “อาหรับสปริง” ที่เกิดขึ้นในหลายๆประเทศ ที่ต้องหันแหออกจากทิศทางในความเป็นจริงนั้น ก็เพราะมีตะวันตกเข้าไปแทรกแซง
ฉะนั้นดูเหมือนว่าชาวมุสลิมที่อาศัยอยู่ในประเทศที่ร่ำรวยมั่งคั่ง ต้องตกอยู่ในสภาพที่เลวร้ายที่สุด ดั่งที่เราเห็นในวันนี้
ตะวันตก เปลี่ยนไอซิส เป็นสัญลักษณ์ของอิสลาม
ในวันนี้ประชาชนส่วนใหญ่ในตะวันตกไม่รู้จักในความสำเร็จความก้าวหน้าอันยิ่งใหญ่ภาพลักษณ์ที่ทรงอิทธิพลของอิสลาม แต่พวกเขาเหล่านั้นกลับรู้จักแต่กลุ่มก่อการร้ายไอซิส ว่าเป็นกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงที่เป็นภัยคุกคามที่แท้จริงต่อมนุษยชาติ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุดในการปฏิบัติของกลุ่มก่อการร้ายในปารีส ฝรั่งเศส เป็นกรณีตัวอย่างหนึ่งในการนำเสนอภาพลักษณ์แห่งความป่าเถื่อนของอิสลาม ขณะที่ในฝรั่งเศสมีการให้ความสนใจต่อเหตุการณ์กราดยิง ณ สำนักงานนิตยสารชาร์ลี เอ็บโด อย่างไร้ความปรานี นั้น สื่อตะวันตกทั้งหลายกลับฉวยโอกาสนำเสนอภาพลักษณ์อันป่าเถื่อน และรุนแรงกระพือข่าวทั่วยุโรปและทั่วโลก ซึ่งเป้าหมายหลักของตะวันตกหลังจากสงครามครูเสด และการก่อตั้งคริสต์นิยมแล้ว คือการทำลายระบบ แห่งความสมดุล ยุติธรรม และความก้าวหน้าของอิสลาม
ตามรายงานระบุว่า ในช่วง 5 ปี ที่ผ่านมา พี่น้องมุสลิมทั่วโลกต้องตกเป็นเหยื่อของตะวันตกเกือบ 10 ล้านคน เพราะรัฐบาลของพวกเขาไม่ยอมเป็นทาสรับใช้ของตะวันตก ขณะเดียวกันชาติหลักที่ให้การสนับสนุนกลุ่มก่อการร้าย และช่วยเหลือด้านการเงิน เช่นซาอุดิอาระเบีย และกาตาร์ กลับเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดของอเมริกา และอเมริกาก็ไม่เคยตำหนิพวกเขาที่ให้การช่วยเหลือกลุ่มก่อการร้าย แต่ขณะเดียวกัน กลุ่ม “ฮิซบุลลอฮ์” ในเลบานอน ซึ่งในวันนี้เป็นกลุ่มที่อยู่แนวหน้าในการต่อสู้กับไอซิส และก่อนหน้านี้ได้ทำสงครามกับยิวอิสราเอลมาแล้วเพื่อปกป้องและป้องกันแผ่นดินเลบานอน กลับถูกอเมริกาขึ้นบัญชีดำเป็นกลุ่มก่อการร้าย
ดังนั้นบทสรุปคือ หลังจากสงครามครูเสดแล้ว ตะวันตกจึงมีแผนการที่จะทำลายวัฒนธรรมและประเทศอิสลามทั้งหมด และจะยอมรับเพียงแค่ประเทศที่ยอมเป็นพันธมิตรและอยู่ภายใต้การชี้นำของตนเท่านั้น ถึงจะรอดพ้นจาการถูกคุกคามเช่นนี้
อ้างอิง : http://www.islamtimes.org