หญิงสาววัย 15 ปี ชาวอีซาดี หลังจากได้หนีออกจากน้ำมือของขบวนการดาอิช ISIL ได้เล่ารายละเอียดของเหตุการณ์ที่เธอถูกจับเป็นตัวประกันอันสะเทือนจิตใจเธอและครอบครัวอย่างมาก
สำนักข่าว อัลอะลัม รายงาน เหตุการณ์น่าสลดกรณี หญิงสาวชาวอีซาดี นับพันคน ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่ในภาคเหนือของอิรัก ถูกกลุ่มก่อการร้ายดาอิช ISIL ลักพาตัวไป เมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และเด็กสาวผู้นี้คือหนึ่งในกลุ่มผู้หญิงที่หนีจากน้ำมือของขบวนการดาอิชออกมาได้
ข้อเท็จจริงเรื่องนี้ ทางนิวยอร์คไทม์ ยังได้รายงานเกี่ยวกับหญิงสาวชาวอิรักคนนี้เช่นกันแต่ไม่ได้เอ่ยนามของเธอ โดยระบุว่า พวกดาอิชจะลักพาตัวบรรดาหญิงสาวไปแล้วจะแยกพวกเธอออกจากครอบครัว และทำการซื้อขายพวกเธอกันในหมู่สมาชิกขบวนการฯเปรียบเสมือนพวกเธอเป็นสินค้า ประเภทหนึ่ง สมาชิกขบวนการดาอิชจะนำเด็กสาวที่ลักพาตัวมาแล้วบังคับให้แต่งงานกับพวกเขา และจะหมุนเวียนทำเช่นนี้หลายครั้งด้วยกัน
เมื่อเดือนที่ผ่านมาบทความในวารสารภาษาอังกฤษฉบับ หนึ่งได้เขียนถึง กลุ่มขบวนการหนึ่งที่เรียกตนเองว่า ดาบิก ได้รับสินสงครามจากการปฏิบัติการใน ซันญาร และพวกเขาได้มอบหญิงสาว 5 คนแก่ขบวนการดาอิช ส่วนที่เหลือถูกนำเป็นเชลยสงครามและมอบให้กับขบวนการกลุ่มอื่นๆต่อไป
เจ้าหน้าที่รับผิดชอบวิกฤติการณ์ใน ซันญาร ได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “ดาอิชได้ลักพาตัวสาวในเมืองอีซาดีไปกว่า 5 พันคน”
ในขณะที่องค์กรสิทธิมนุษยชนได้เสนอรายงานเมื่อเดือนที่ผ่านมาว่า การลักพาตัวชาวอีซาดีและการปฏิบัติที่กระทำต่อพวกเขา ถือว่าเป็นการก่ออาชญากรรมต่อมนุษย์ชาติ
หญิงสาวชาวอีซาดีคนหนึ่งที่สามารถหนีออกมาจากน้ำมือ ของขบวนการดาอิช ได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนเองว่า ในขณะที่เราเดินทางอยู่ในเส้นทางของเมือง ซันญาร กลุ่มดาอิชได้ออกมาขวางทางและสั่งให้เราหยุดรถ ตอนนั้นในรถมีพ่อ แม่ และพี่น้องของเราอีก 5 คน ต่อมาพวกเขาได้พาเราเข้าไปในเขตเทศบาลของเมือง ซันญาร พร้อมกับครอบครัวอื่นๆด้วย พวกเขาได้แยกเด็กๆและผู้หญิงออกจากกลุ่มผู้ชายรวมทั้งพ่อของพวกเธอ พวกดาอิชจะเลือกหญิงสาวที่โสดและหญิงที่ยังไม่ถึงวัยชรา ขณะนั้นฉันกลัวเป็นอย่างมาก ฉันจึงจับมือแม่ไว้แน่น สักครู่หนึ่ง สมาชิกนักรบดาอิช คนหนึ่งได้ยืนข้างหน้าฉัน และได้จี้อาวุธของมันลงบนหัวของฉัน ทันทีนั้นแม่ได้บอกกับฉันว่า ถ้าหากเจ้าไม่ต้องการจะโดนฆ่าต่อหน้าต่อตาแม่ก็ไปกับพวกมันเถิด
ฉันกับน้องสาวและพี่สาวของฉันที่มีอายุ 12 และ 19 ปีและหญิงสาวอื่นๆอีกนับสิบคนถูกจับใส่รถบรรทุก แล้วขนย้ายไปยังเมือง โมซุล พอมาถึงต่เราถูกนำตัวไปขังในคุกถึง 9 วัน แล้วพวกเขาก็ได้นำเราไปยังตึกสูง 3 ชั้นแห่งหนึ่ง ภายในตึกอัดแน่นไปด้วยเชลยศึกที่เป็นหญิงสาวราวร้อยคนถูกขังอยู่ในสถานที่ แห่งนั้น
และตึกดังกล่าวเป็นสถานที่ส่งต่อตัวสาวๆที่ถูกลักพา ตัวมาไปยังสถานที่ต่างๆที่มีสมาชิกขบวนการดาอิชอาศัยอยู่ พวกเขาแบ่งกันตามระดับตำแหน่ง สมาชิกคนใดอยู่ระดับล่างสุดก็เลือกสาวได้เพียงคนเดียว ส่วนสมาชิกตำแหน่งที่สูงขึ้นก็สามารถเลือกได้มากกว่าตามระดับชั้นไป
เธอได้เล่าเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นกับตัวเธอและพี่ น้องของเธออีกว่า มีชายคนหนึ่งต้องการให้ฉันไปกับเขา และฉันได้ปฏิเสธแต่พวกมันได้เอามีดจี้ที่คอของน้องสาวฉัน และขู่ว่า ถ้าฉันไม่ไปกับเขา พวกมันจะฆ่าน้องสาวของฉัน ในขณะนั้นน้องสาวของฉันมีอาการตื่นตกใจสุดขีด
เธอเล่าต่อด้วยน้ำตาอีกว่า ผ่านไปไม่กี่สัปดาห์พวกเขาบังคับพาฉันไปในที่ต่างๆถึง 8 แห่ง ซึ่งเป็นสถานที่กักตัวเด็กสาวที่ถูกลักพาตัวมาทั้งสิ้น และฉันก็ถูกย้ายไปยังซีเรียโดนผ่านเขตแดนระหว่างประเทศ และพวกมันได้พาฉันไปไว้ในบ้านหลังหนึ่งในเมือง ราเกะ (ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของซีเรีย) และได้พาหญิงอื่นๆไปด้วย พวกมันพาเราไปยังตลาดซื้อขายและประมูล ผู้หญิงที่ถูกลักพาตัว
พวกหญิงสาวที่ถูกลักพาตัว ต้องถูกขืนใจและบังคับให้แต่งงานแต่ทว่าฉันสามารถหนีออกมาได้ทางหน้าต่างที่ ถูกคุมตัวในตอนกลางคืน แล้วหนีออกมาได้ และวิ่งไปยังหมู่บ้านหนึ่งในแถบชายแดน ชาวบ้านในหมู่บ้านดังกล่าวได้ให้ที่พักพิงแก่ฉัน หลังจากนั้นฉันก็ได้เดินทางต่อไปยังหมู่บ้านอื่นๆ จนในที่สุดฉันก็สามารถกลับมายังบ้านเกิดในอีซาดีได้
หญิงสาวคนนี้ที่หนีรอดจากน้ำมือของกลุ่มดาอิช ยังกล่าวอย่างสะเทือนใจอีกว่า ส่วนใหญ่ของหญิงสาวที่ถูกกลุ่มก่อการร้ายนำไปขืนใจ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับพวกเธอ มันระทมทุกข์จนพวกเธอไม่สามารถจะบอกกับใครๆได้ เป็นเหตุที่ทำให้ หญิงสาวชาวอีซาดีกว่า 150 คนต้องฆ่าตัวตายในที่สุด