เมื่อนวัตกรรมเทคโนโลยีจากบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งสหรัฐฯ อย่าง Amazon, Google และ Microsoft ถูกนำมาใช้อย่างเป็นระบบในสงครามของกองทัพอิสราเอลในฉนวนกาซา ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเหล่านี้ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการสอดแนม ตรวจจับ และกำหนดเป้าหมายในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยการต่อสู้และความรุนแรง
เมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ในงาน “IT for IDF” ที่จัดขึ้นใกล้กรุงเทลอาวีฟ ผู้บัญชาการศูนย์ระบบคอมพิวเตอร์และข้อมูลของกองทัพอิสราเอล พันเอกราเชลี เดมบินสกี ได้เปิดเผยอย่างไม่ปิดบังว่า อิสราเอลใช้เทคโนโลยีคลาวด์และปัญญาประดิษฐ์ที่ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทไอทีรายใหญ่ของอเมริกาในปฏิบัติการโจมตีฉนวนกาซา โดยเดมบินสกีได้แสดงโลโก้ของ Amazon Web Services (AWS), Google Cloud และ Microsoft Azure ระหว่างการบรรยาย ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างบริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้กับกองทัพอิสราเอลที่ต้องพึ่งพาการประมวลผลและจัดเก็บข้อมูลจากระบบคลาวด์ ซึ่งช่วยให้กองทัพอิสราเอลเข้าถึงเทคโนโลยีที่เพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติการทางทหารอย่างมาก
Google และ Project Nimbus
โครงการ “Project Nimbus” มูลค่า 1.2 พันล้านดอลลาร์ระหว่าง Google และ Amazon Web Services (AWS) ได้เริ่มต้นขึ้นในปี 2021 เพื่อสนับสนุนการจัดหาเทคโนโลยีคลาวด์คอมพิวติ้งและ AI ให้แก่รัฐบาลอิสราเอล การให้บริการของ Google ประกอบด้วยความสามารถทาง AI ขั้นสูง เช่น การจดจำใบหน้า การวิเคราะห์อารมณ์ และการติดตามวัตถุ ซึ่งสามารถใช้เพื่อการสอดแนมและควบคุมประชาชน โดยในปี 2022 Google ได้ตั้งศูนย์คลาวด์ในพื้นที่ยึดครองของอิสราเอลภายใต้โครงการนี้ ทำให้มีการตั้ง “โซนปลอดภัย” สำหรับการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลของกระทรวงกลาโหมอิสราเอล และยังมีการให้บริการ AI ต่างๆ แก่กองทัพอย่างกว้างขวาง
Google ยืนยันว่าโครงการนี้ให้บริการเชิงพาณิชย์แก่กระทรวงการคลัง สาธารณสุข การขนส่ง และการศึกษาในอิสราเอลเท่านั้น แต่ข้อมูลจากเอกสารภายในของบริษัทและคำให้การจากเจ้าหน้าที่อิสราเอลชี้ให้เห็นถึงการใช้งานเพื่อสนับสนุนปฏิบัติการทางทหารอย่างชัดเจน โดยนับตั้งแต่เกิดสงครามในกาซา Google ได้เพิ่มความร่วมมือกับรัฐบาลอิสราเอลในเดือนมีนาคม 2024 เพื่อให้หน่วยงานหลายฝ่ายสามารถใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติของบริษัทได้ นอกจากนี้ เทคโนโลยีจดจำใบหน้าจาก Google ถูกใช้อย่างแพร่หลายในดินแดนยึดครองเพื่อควบคุมประชาชนปาเลสไตน์ รวมถึงการตรวจสอบทางชีวภาพผ่าน Google Photos ที่ถูกนำไปใช้ในการระบุตัวบุคคลระหว่างการรุกรานฉนวนกาซา
AWS และการสนับสนุนปฏิบัติการทางทหารในกาซา
รายงานจาก +972 Magazine และ Local Call เปิดเผยว่า กองทัพอิสราเอลใช้บริการคลาวด์ของ Amazon Web Services (AWS) ในการจัดเก็บข้อมูลสอดแนมของประชาชนในกาซา โดย AWS ได้สนับสนุนศูนย์ข่าวกรองของกองทัพอิสราเอลด้วยความสามารถในการจัดเก็บข้อมูลจำนวนมาก ทำให้สามารถรวบรวมข้อมูลการสอดแนมจากประชาชนได้เกือบทุกคนในกาซา นอกจากนี้ AWS ยังมีบทบาทในการยืนยันเป้าหมายการโจมตีทางอากาศของอิสราเอล และการตั้งศูนย์คลาวด์แห่งใหม่ในดินแดนยึดครองยังช่วยให้อิสราเอลสามารถย้ายปริมาณงานขนาดใหญ่ไปยังระบบคลาวด์ได้ โดยหนึ่งในลูกค้ารายใหญ่ของบริการนี้คือ Bank Leumi ธนาคารที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงการสนับสนุนการขยายตั้งถิ่นฐานและปฏิบัติการทางทหารในเขตยึดครองของอิสราเอล
AWS ยังได้ร่วมมือกับ Palantir บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลที่มีความเชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์และการสนับสนุนทางทหาร โดยในเดือนมกราคมที่ผ่านมา Palantir ได้ร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับกระทรวงกลาโหมของอิสราเอลในการสนับสนุนเทคโนโลยีสำหรับปฏิบัติการทางทหารในฉนวนกาซา
Microsoft และความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับกองทัพอิสราเอล
Microsoft มีความสัมพันธ์ที่ยาวนานกับกองทัพและหน่วยข่าวกรองของอิสราเอล นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู เคยกล่าวถึงความร่วมมือนี้ว่าเป็น “คู่สร้างคู่สม” ซึ่ง Microsoft Azure แพลตฟอร์มคลาวด์หลักของบริษัท ถูกใช้เป็นผู้ให้บริการหลักในกองทัพอิสราเอล และเมื่อปีที่ผ่านมา Microsoft ได้เปิดศูนย์คลาวด์แห่งใหม่ในอิสราเอลเพื่อให้บริการ AI และคลาวด์สำหรับวัตถุประสงค์ทางทหาร
นอกจากนี้ Microsoft ยังให้การสนับสนุนโครงการต่างๆ ของอิสราเอล รวมถึงการขยายตั้งถิ่นฐาน การให้บริการหน่วยงานตำรวจและกรมราชทัณฑ์ ซึ่งปัจจุบันมีชาวปาเลสไตน์กว่า 10,000 คนถูกคุมขังโดยไม่มีการพิจารณาคดี
รายงานจากสำนักงานสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติระบุว่า ผู้ต้องขังชาวปาเลสไตน์ต้องเผชิญกับการทรมาน การปฏิบัติอย่างทารุณ และการข่มขืนในระหว่างการกักขังที่ยาวนาน นอกจากนี้ มีรายงานว่าผู้ใช้งานชาวปาเลสไตน์ที่อาศัยอยู่นอกฉนวนกาซาหลายคนพบว่าไม่สามารถเข้าถึงบัญชี Microsoft และ Skype ของตนได้โดยไม่มีคำอธิบาย ส่งผลให้เกิดปัญหาในการทำงานและการติดต่อสื่อสารกับครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากการตัดการสื่อสาร
เสียงต่อต้านจากภายในวงการเทคโนโลยี: #NoTechForGenocide
ท่ามกลางกระแสการสนับสนุนจากบริษัทเทคโนโลยีในการสนับสนุนปฏิบัติการของอิสราเอล กลุ่มพนักงานเทคโนโลยีและนักเคลื่อนไหวยังคงแสดงจุดยืนในการต่อต้านอย่างเข้มแข็ง แม้จะต้องเผชิญกับการถูกไล่ออกจากงานหรือการกดขี่จากบริษัท นาย Hossam Nasr หนึ่งในพนักงานที่ถูกปลดจาก Microsoft ได้ตั้งคำถามกับผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์ถึงความกล้าหาญในการแสดงความเห็น “พวกคุณไม่กลัวที่จะนิ่งเฉยต่อโศกนาฏกรรมอันร้ายแรงที่สุดในยุคของเราหรือ?”
เสียงเรียกร้องของพนักงานเทคโนโลยีเหล่านี้คือคำถามสู่สังคม—เราจะยืนอยู่ที่ไหนในช่วงที่โลกกำลังเผชิญกับโศกนาฏกรรมในกา