กลยุทธ์การตอบโต้ของอิหร่าน: ชัยชนะแห่งการป้องปราม ที่สื่อกระแสหลักจะไม่มีวันบอกคุณ

4

พวกเขากล่าวว่า “อิหร่านดีแต่พูด ไม่ลงมือทำ” และขณะที่พวกเขาช่วยผลักดันลัทธิแบ่งแยกนิกาย ตามแผนการของตะวันตก ที่ชักนำให้เกิดความขัดแย้งตลอดมา และตอนนี้ ก็กำลังกล่าวโทษว่า อิหร่านไม่ตอบสนองอย่างรุนแรงเพียงพอ หรือ ได้ลากภูมิภาคเข้าสู่สงครามที่กว้างขึ้น…

พวกเขากลับลืมข้อเท็จจริงที่ว่า อิหร่านเผชิญกับการคว่ำบาตรที่โหดร้ายที่สุดมานานกว่า 4 ทศวรรษ เนื่องจากจุดยืนในการสนับสนุนที่มีต่อการต่อสู้ของชาวปาเลสไตน์อย่างไม่ลดละ

ปฏิบัติการต่อสู้กับการรุกรานของอเมริกา และระบอบยึดครองอิสราเอล ทุกภูมิภาคในปัจจุบัน เชื่อมโยงและเป็นพันธมิตรกับอิหร่านทั้งหมด ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

📌ในวันนี้ กลยุทธ์การตอบโต้ของอิหร่าน ได้สำแดงความอัจฉริยะของมัน กล่าวคือ การตอบโต้ในลักษณะที่ไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งในระดับภูมิภาคในวงกว้าง แต่เป็นแรงกดดันต่ออิสราเอลมากพอ จะปูทางไปสู่การหยุดยิง และยุติการรุกรานในฉนวนกาซา

ขณะนี้ อิหร่านเข้าสู่แนวรบโดยตรง อย่างเป็นทางการ เคียงข้างเลบานอน เยเมน และอิรัก ที่ต้องการยุติสงครามในฉนวนกาซา

อิหร่าน ตั้งแต่แรกเริ่ม ระบุอย่างเปิดเผยว่า จะดำเนินการยิงขีปนาวุธและโดรนของตนในการโจมตีตอบโต้ โดยรู้ดีว่าเทคโนโลยีของอิสราเอล และอเมริกาจะเฝ้ามองดู และพยายามจะยิงพวกมันผ่านการป้องกันทางอากาศ และเรืออเมริกันที่ประจำการอยู่อย่างแน่นอน

สหรัฐฯ จอร์แดน UAE ซาอุดิอาระเบีย เปิดเผยว่า ได้ “ช่วยอิสราเอล” สกัดโดรนและขีปนาวุธเกือบทั้งหมด ถึงกระนั้นอิหร่าน ก็สามารถจัดการกับเป้าหมายทางทหารที่มุ่งเป้าไว้ได้อย่างแม่นยำในสถานที่ที่ละเอียดอ่อน อย่างเช่น ฐานทัพอากาศ

การเปิดกว้างของอิหร่านส่งสัญญาณถึงความท้าทายสำหรับทุกฝ่ายที่ต้องการช่วยเหลืออิสราเอล: ‘สกัดกั้นทุกวิถีทางที่คุณต้องการ แต่เป้าหมายที่เราต้องการ เราก็จะทำลายมันอย่างแม่นยำอยู่วันยังค่ำ’

และอิหร่านก็ประสบความสำเร็จท่ามกลางความเสียหายของอิสราเอล ที่กำลังถูกปิดบังจากสายตาชาวโลก…

📌 “การโจมตีตอบโต้” ของอิหร่านประสบความสำเร็จในการป้องปราม เนื่องจากพวกเขาบรรลุเป้าหมายอย่างชาญฉลาด เช่น:

1)เป้าหมายทางทหาร ที่ตั้งเป้าไว้ถูกทำลาย

การโจมตีที่ประสบความสำเร็จตามมาตรฐานของรัฐอิสลามอิหร่าน คือ การบาดเจ็บล้มตายของพลเรือนเพียงเล็กน้อยหรือ ไม่มีเลย โดยมุ่งเน้นไปยังความแม่นยำสูงสุดต่อเป้าหมายทางทหาร — ซึ่งนอกจากความเสียหายที่เกิดขึ้นกับฐานทัพ Nevatim และ Ramon ของอิสราเอล จะพิสูจน์ถึงศักยภาพในการโต้ตอบของอิหร่านแล้ว ยังแสดงให้เห็นถึงความอ่อนด้อย ในความสามารถทางทหารของอิสราเอลอีกด้วย เพราะเป้าหมายหลัก หรือ เป้าหมายทางทหาร ที่ตั้งเป้า ถูกโจมตีอย่างแม่นยำ ในขณะที่อิหร่านยังไม่ได้นำเทคโนโลยีขั้นสูงออกมาใช้ เช่น ขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิค“Fattah” ซึ่งหากนำออกมา จะสามารถเดินทางในความเร็ว 15 เท่าของความเร็วเหนือเสียง

2)กลยุทธ์ บังคับให้อิสราเอล ต้องเปิดเผยข้อมูลเชิงยุทธศาสตร์ส่วนใหญ่ของตน

การกล่าวอ้างที่เกินจริง เกี่ยวกับความสำเร็จทางทหารของอิสราเอล ในการขัดขวางการโจมตีของอิหร่านได้ 99% นั้นเพิกเฉยต่อข้อเท็จจริงที่ว่า อิหร่านจงใจควบคุมการโจมตี เพื่อหลีกเลี่ยงการยกระดับความขัดแย้งไปสู่สงครามระดับภูมิภาค ในขณะที่การโจมตีดังกล่าวทำให้อิสราเอลต้องเปิดเผยข้อมูลเชิงยุทธศาสตร์

การโจมตีล่าสุดของอิหร่าน ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มความตึงเครียด แน่นอนว่า อิหร่านจะต้องตอบโต้ แต่อิหร่านก็แจ้งให้โลกและสหรัฐฯ ทราบล่วงหน้าหลายสัปดาห์ และยังบอกอีกว่า มีเป้าหมาย เพื่อควบคุมสถานการณ์ โดยจะหลีกเลี่ยงความขัดแย้งเพิ่มเติม

ดังนั้น ในขณะที่การตอบโต้ของอิหร่าน ทำให้อิสราเอลต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายในการสกัดกั้นมากถึง

1 พันกว่าล้านดอลลาร์ (มากกว่าอิหร่านถึง 10 เท่า) แต่สิ่งที่อิหร่านได้กลับมาอย่างชาญฉลาด กล่าวคือ

การโจมตีตอบโต้ของอิหร่าน ไม่เพียงแต่ทดสอบการป้องกันของอิสราเอลเท่านั้น แต่ยังเปิดโปงรายละเอียดที่สำคัญของเทคโนโลยีขีปนาวุธระหว่างสหรัฐฯ และอิสราเอลทั่วทั้งภูมิภาคอีกด้วย

โดยการกำหนดเป้าหมายไปยังสถานที่ต่างๆ ด้วยอาวุธที่หลากหลาย อิหร่านได้บีบบังคับให้อิสราเอลเปิดเผยระบบต่อต้านขีปนาวุธส่วนใหญ่ของตน ความเคลื่อนไหวเชิงยุทธศาสตร์นี้ ทำให้อิหร่านมีแผนที่ที่เกือบจะสมบูรณ์ซึ่งแสดงสถาปัตยกรรมการป้องกันขีปนาวุธของอิสราเอล และฐานที่ตั้งของสหรัฐฯ ในพื้นที่ดังกล่าว

ข้อมูลข่าวกรองที่สำคัญนี้ อาจทำให้อิหร่านสามารถปรับกลยุทธ์ของตนในการเผชิญหน้าในอนาคต ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อพลวัตทางทหารของภูมิภาค และทำให้อิสราเอล และสหรัฐฯ จำเป็นต้องมีการออกแบบกลยุทธ์การป้องกันในปัจจุบันใหม่

3)ส่งสาส์นที่ชัดเจน โชว์เหนือ ท่ามกลางความล้มเหลวในแผนการของอิสราเอล

โดรนของอิหร่าน บินทะยานเหนือฟากฟ้า มัสยิดอัลอักซอ รัฐสภาของระบอบยึดครอง และเทลอาวีฟ เป็นการส่งข้อความอย่างชัดเจนว่า อิหร่านมีความกล้าหาญ มีข้อมูล และศักยภาพที่จะโจมตีอิสราเอลได้ทุกทิศ และทุกเมื่อ

การที่ไบเดน ส่งข้อความถึงเนทันยาฮู โดยระบุว่า จะไม่สนับสนุนการโจมตีของอิสราเอลต่ออิหร่าน แสดงให้เห็นถึงขอบเขตที่การปะทะกับอิหร่านนั้น ถูกพิจารณาอย่างจริงจัง และอธิบายเรื่องราวทั้งหมดกล่าวคือ สหรัฐฯ จะไม่กระโจนเข้าไปเกี่ยวข้องกับสงครามในภูมิภาค เพราะความโง่เขลาของเนทันยาฮู และความอ่อนแอของอิสราเอล

ชั้นเชิงในการตอบโต้ของอิหร่าน ยังเป็นที่ถูกกล่าวถึง โดยสื่ออิสราเอล นักวิเคราะห์ รวมถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูง อาทิ สื่ออิสราเอลชี้ว่า: การโจมตีในคืนวันที่ 14 เมษายน แสดงให้เห็นถึงการใช้อาวุธยุทโธปกรณ์อย่างแม่นยำที่มีความเข้มข้น และมีการประสานงานมากที่สุด ในประวัติศาสตร์ของความมั่นคงโลก

‘ภายในเวลาน้อยกว่า 24 ชม.’ อิสราเอล ที่เมินเฉยต่อคำสั่งศาล ICJ และไม่สนใจมติ UN มาโดยตลอด ในวันนี้ กลับเรียกร้องการประชุมฉุกเฉินของคณะมนตรีความมั่นคงเพราะต้องการ ‘ความช่วยเหลือ’ ในการลดระดับความตึงเครียดกับอิหร่าน ทำให้นักวิเคราะห์พูดเป็นเสียงเดียวกัน: ‘สิ่งนี้บ่งชี้ว่า อิหร่านเป็นผู้ได้รับชัยชนะ’

จอห์น โบลตัน อดีตที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ ภายใต้อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หนึ่งในเจ้าหน้าที่สายเยี่ยวของรัฐบาลสหรัฐ กล่าวว่า สิ่งที่เราพบในคืนนี้ คือความล้มเหลวครั้งใหญ่ในด้านการป้องปรามของอิสราเอล และอเมริกา

 

4) รักษาเกียรติอย่างสมศักดิ์ศรี โดยไม่ตกหลุมพราง

 

กลยุทธ์การตอบโต้ของอิหร่าน ไม่ได้มุ่งคุกคามระบอบยึดครอง จนถึงจุดที่จะเป็นการรับประกันการแทรกแซงโดยตรงจากสหรัฐฯ และพันธมิตร ซึ่งจะก่อให้เกิดสงครามในภูมิภาคที่กว้างขึ้น ในวิธีนั้น ผลลัพธ์ที่ได้ จะเป็นการผลักไสฉนวนกาซ่า ให้อยู่ในตำแหน่งรอง และกลายเป็นการกินเหยื่อที่เนทันยาฮูหย่อนลงมา ตามที่อิสราเอลพยายามยั่วยุอิหร่านตลอดมา ด้วยความต้องการขยายความขัดแย้งไปสู่สงครามในระดับภูมิภาค เพราะความเพลี่ยงพล้ำทางทหารของตนในฉนวนกาซ่า

 

5)สร้างแรงกดดันต่อกองกำลังยึดครอง เพื่อชัยชนะของกาซ่า โดยไม่ขยายแนวรบ

 

กลยุทธ์การตอบโต้ของอิหร่าน เป็นการมุ่งเน้นไปที่การเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มต่อสู้แห่งกาซ่า และเพิ่มชัยชนะโดยรวม โดยใช้สิทธิ์ของตนในการโจมตีระบอบยึดครองอิสราเอล เป็นแรงกดดันไปสู่ทิศทางที่จะนำไปสู่การหยุดยิง

 

นี่ครอบคลุมถึงการกลับไปยังทางตอนเหนือของชาวกาซ่า และการถอนกำลังทหารของระบอบยึดครองออกจากฉนวนกาซ่าโดยสมบูรณ์ อย่างที่มันได้เพิ่งถอนตัวออกจากคาน ยูนิส และการปล่อยตัวนักโทษชาวปาเลสไตน์ โดยเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงแลกเปลี่ยน

 

ในทำนองเดียวกัน แนวรบเลบานอน เยเมน และอิรัก ที่ต่างก็เป็นพันธมิตรกับอิหร่าน ล้วนมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการสนับสนุน และบรรเทาแรงกดดันที่มีต่อกลุ่มต่อสู้แห่งกาซ่า ซึ่งช่วยเบี่ยงเบนความสนใจ และเป็นแรงกดดันต่อระบอบยึดครองในอีกทางหนึ่ง

 

การถอนกำลังทหารส่วนใหญ่ของอิสราเอลออกจากกาซ่า เมื่อไม่นานมานี้ บ่งชี้ว่า อิสราเอลกำลังเปลี่ยนความสนใจไปที่ฮิซบุลลอฮ์ โดยในสัปดาห์ที่แล้ว กองทัพอิสราเอลได้ประกาศเปลี่ยนยุทธวิธี จาก “การป้องกัน” เป็น “การรุก” ต่อกลุ่มฮิซบุลลอฮ์ — อนึ่ง ในการตอบโต้ของอิหร่านครั้งล่าสุด ฮิสบุลลอฮ์ ก็ได้ยิงจรวด 40 กว่าลูก บวกโดรนติดอาวุธใส่อิสราเอลอีก ซึ่งถือเป็นการโจมตีครั้งใหญ่ที่สุด นับตั้งแต่เดือนตุลาคม

 

ในขณะที่อิสราเอลเริ่มแตกเสียงกับสหรัฐฯ แต่การตอบโต้ ยังคงทำให้อิหร่านอยู่ในวิถีเดียวกันกับพันธมิตรที่เหลือกล่าวคือ อิหร่านยังคงเป็นแนวหน้าแห่งการสนับสนุนโดยตรง สำหรับขบวนการต่อสู้ในกาซ่า ระหว่างที่การตอบโต้ก็ไม่ได้นำไปสู่การขยายแนวรบ แต่ในเวลาเดียวกัน ก็ช่วยสร้างแรงกดดัน ที่อิสราเอลไม่อาจรับได้ เพื่อเพิ่มแนวโน้มไปสู่การหยุดยิงนั่นเอง

 

อิหร่านกำลังพูดกับตะวันตก: เรามีความมุ่งมั่น เรามีศักยภาพ เรามีการดำเนินการ รวมถึงความเต็มใจ และการสนับสนุนจากแนวหน้าแห่งการต่อสู้อื่น ๆ ทั้งหมด ในการเชิดชูชาวปาเลสไตน์ ผู้ถูกกดขี่ ซึ่งชัยชนะของการปลดปล่อยที่จะเกิดขึ้น จะถูกพิชิตโดยน้ำมือของชาวปาเลสไตน์เอง

_____________

📚Source: รวบรวม และเรียบเรียงจาก แหล่งข่าว @almayadeenenglish @mondoweiss @letstalkpalestine และนักวิเคราะห์ @batoolsubeiti @zahraasubeiti

🌐IG: @the_scale_of_shuhada
🔶TikTok: @abnewstoday.com

🔷FB: เอบีนิวส์ทูเดย์ – abnewstoday