วอชิงตันโพสต์ : สหรัฐฯต้องเปลี่ยน!! นโยบายต่างประเทศของตะวันออกกลาง

50

เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ-อิหร่านประชุมกันที่กรุงเวียนนาเพื่อหารือทางอ้อมเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ของเตหะราน ในฐานะส่วนหนึ่งของการเจรจาต่อรอง รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ พึ่งพาความช่วยเหลือของประธานาธิบดีอียิปต์ ประเทศที่มีพรมแดนติดกับฉนวนกาซา พื้นที่ที่ถูกปิดล้อม และเกิดเหตุความรุนแรง  ทั้งนี้องค์กรระหว่างประเทศประเมินค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างฉนวนกาซาใหม่หลังสงครามระหว่างอิสราเอลและฮามาสครั้งล่าสุด ในขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอลได้ใช้โอกาสนี้แสดงความกังวลเกี่ยวกับอิหร่าน และเตือนถึงความพยายามของสหรัฐฯ ในการสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับเตหะราน

ทั้งหมดนี้เป็นพัฒนาการของสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่พัฒนาการเหล่านี้น่าจะคุ้นเคยกันดีสำหรับผู้สังเกตการณ์นโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ  โดยเฉพาะในช่วงที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสองสมัยของบารัค โอบามา

หลังจากการจลาจลในเหตุการณ์อาหรับสปริง  รัฐบาลของโอบามาซึ่งพยายามขัดขวางสงครามที่ทำลายล้าง และเข้าใจยุคสมัยของจอร์จ ดับเบิลยู. บุช  ที่ได้เข้าไปพัวพันกับวิกฤตในตะวันออกกลาง รัฐบาลของเขาสนับสนุนการปลุกระดมประชาธิปไตยและการตื่นตัวอาหรับสปริงในปี 2011  แต่ในเวลาต่อมา เขาก็พบจุดยืนของตัวเองโดยยืนหยัดต่อสู้กับประธานาธิบดีอียิปต์ อับดุล ฟัตตาห์ อัล-ซีซี ซึ่งเข้ามามีอำนาจในการรัฐประหารปี 2013   โอบามาพยายามอย่างมากแต่ล้มเหลวในการปรองดองชาวอิสราเอลและปาเลสไตน์ อีกทั้งอิสราเอลยังก่อให้เกิดความโกลาหลมากกว่า 50 วันในปี 2014 ในฉนวนกาซา   และในปี 2015 ข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่านเกิดขึ้นหลังจากการเจรจากันอย่างกว้างขวางเป็นเวลาหลายเดือน แม้ว่าจะมีการล็อบบี้อย่างเข้มข้นโดยเนทันยาฮูและพรรครีพับลิกันในสภาคองเกรสก็ตาม

ไบเดนเป็นรองประธานของโอบามามาหลายปีแล้ว และเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลของไบเดนส่วนหนึ่งก็เป็นผู้ที่ดำรงตำแหน่งในรัฐบาลโอบามามากก่อน  เมื่อพวกเขาเข้ารับตำแหน่งในเดือนมกราคม พวกเขาหวังว่าจะเปลี่ยนนโยบายของสหรัฐฯ ในตะวันออกกลาง และผลกระทบบางประการของนโยบายสี่ปีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ย้อนกลับในสิ่งที่ตรงกันข้าม พวกเขายังพยายามแก้ไขปัญหาเชิงกลยุทธ์ที่มีมายาวนานในเอเชีย ที่หลายคนในวอชิงตันคิดว่าเป็นศูนย์กลางของความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอีกไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า

ความรุนแรงของอิสราเอล-ปาเลสไตน์ที่ทวีความรุนแรงขึ้นเป็นความท้าทายสำหรับรัฐบาลของโอบามา ซึ่งเขาไม่ได้ตั้งใจจะมีบทบาทสำคัญในความขัดแย้งที่ดำเนินมายาวนานนี้  แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา กลัวที่จะตกชะตากรรมเหมือนในยุคสมัยของโอบามา จึงเดินทางไปตะวันออกกลางในสัปดาห์นี้เพื่อพบกับเนทันยาฮูในกรุงเยรูซาเล็ม  มาห์มูด อับบาส หัวหน้าหน่วยงานปาเลสไตน์ในเขตเวสต์แบงก์   อัลซีซีในกรุงไคโรและอับดุลลาห์ที่ 2  แห่งจอร์แดนที่กรุงอัมมาน

แอนโทนี บลิงเคน ให้คำมั่นว่า สหรัฐฯ จะให้ความช่วยเหลือในการสร้างฉนวนกาซาขึ้นใหม่ หลังอิสราเอลทิ้งระเบิดฉนวนฉนวนกาซามาเกือบ 2 สัปดาห์ และเตรียมการป้องกันประเทศอิสราเอลอีกครั้ง  เขาแสดงความหวังว่าการหยุดยิงเมื่อสัปดาห์ที่แล้วจะได้ผล และยินดีกับการมีปฏิสัมพันธ์ของเพื่อนบ้านอาหรับของอิสราเอล  นอกจากนี้ เขายังพบกับภาคประชาสังคมชาวปาเลสไตน์และแสดงการสนับสนุนของรัฐบาลไบเดนสำหรับชาวอิสราเอลและชาวปาเลสไตน์ เพื่อนำเสรีภาพและความเจริญรุ่งเรืองมาสู่พวกเขา นี่คือท่าทีใหม่จากทำเนียบขาว ซึ่งแตกต่างจากการสนับสนุนอย่างกว้างขวางของทรัมป์ต่อเทลอาวีฟ

แต่นักวิจารณ์อ้างว่าการปกป้องอิสราเอลของไบเดนที่องค์การสหประชาชาติ สะท้อนถึงบทบาทที่ต่อเนื่องของสหรัฐฯ ในความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากเทลอาวีฟมานานหลายทศวรรษนับตั้งแต่อิสราเอลเข้ายึดครองดินแดนปาเลสไตน์    โอมาร์ เรห์มาน สมาชิกผู้มาเยือนของสถาบันโบรกิงค์( Brookings )ในโดฮา กล่าวกับ Vox ว่า: “จากภายนอก รัฐบาลดูเหมือนไม่ค่อยสนใจที่จะเข้าไปแทรกแซงและแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง แต่สนใจที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับปฏิบัติการของอิสราเอลในฉนวนกาซามากกว่า”  เจ้าหน้าที่ของไบเดนกล่าวอ้างในฐานะเป็นผู้นำโลกด้านสิทธิมนุษยชน แม้ว่าพวกเขาจะทำงานเบื้องหลังอย่างหนักเพื่อป้องกันสงครามก็ตาม

ขณะนี้มีผู้เชี่ยวชาญเพียงไม่กี่คนที่หวังว่าจะมีความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญในความขัดแย้งปาเลสไตน์-อิสราเอล เนื่องจากหลักฐานในอดีตบ่งชี้ว่าสหรัฐฯ จะไม่ดำเนินการขั้นพื้นฐาน  

อารอน เดวิด มิลเลอร์ อดีตนักการทูตสหรัฐฯ ซึ่งเคยร่วมงานกับที่ปรึกษารัฐบาลของพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตในตะวันออกกลางกล่าวว่า การกระทำและถ้อยแถลงของวอชิงตันเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์เป็นเพียงวงจรซ้ำๆ ที่ไม่ได้ผลมาตรการที่กำลังดำเนินการอยู่ในฉนวนกาซามีไว้เพื่อจุดประสงค์ในการฟื้นฟูเท่านั้น และไม่มีการดำเนินการใดๆ ในกรณีของความขัดแย้งในอนาคต

ในสหรัฐอเมริกา เรายังเห็นการประท้วงต่อต้านการกระทำของรัฐบาลที่สนับสนุนปาเลสไตน์ ตัวอย่างเช่น หลังสงครามฮามาส-อิสราเอล สมาชิกพรรครีพับลิกัน 44 คนจากวุฒิสภาได้เขียนจดหมายถึงฝ่ายบริหารที่เรียกร้องให้ยุติความพยายามที่จะรื้อฟื้นข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านที่ทรัมป์ได้ประกาศยกเลิกไป เหตุผลของพวกเขาคือคำพูดซ้ำๆของเนทันยาฮู ที่ว่าการยกเลิกการคว่ำบาตรอิหร่านจะนำไปสู่การระดมทุนเพิ่มเติมสำหรับเตหะรานในการช่วยเหลือผู้แทนกลุ่มติดอาวุธ ซึ่งรวมถึงกลุ่มฮิซบลเลาะห์เลบานอนและกลุ่มฮามาส

วุฒิสมาชิกสหรัฐ เขียนว่า สหรัฐฯ ไม่ควรทำอะไรที่เพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับศัตรูของอิสราเอล อย่างเช่น ไบเดนไม่ควรผ่อนปรนการคว่ำบาตรต่ออิหร่าน ซึ่งพยายามทำลายอิสราเอล

เจ้าหน้าที่สหรัฐเริ่มการเจรจาทางอ้อมกับอิหร่านเป็นครั้งที่ห้าในกรุงเวียนนาในสัปดาห์นี้ นอกเหนือจากกระแสการต่อต้านของพรรครีพับลิกันในวอชิงตันแล้ว การเจรจายังได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การเลือกตั้งในอิหร่านอีกด้วย เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยที่สภาผู้เชียวชาญอิหร่านได้เปิดเผยรายชื่อผู้สมัครที่ได้รับรองและอนุมัติสำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีในวันที่ 18 มิถุนายน นี้

โดยทั่วไป ไบเดนได้ให้คำมั่นสัญญาหลายอย่างในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งหลายข้อยังไม่บรรลุผล อาทิเช่น เขาสัญญาว่าจะจัดการกับซาอุดิอาระเบียในการสังหาร ญามาล คาช็อกกี้ แต่เขาก็ยังไม่ดำเนินการ   ไบเดนยังอ้างว่าเขาจะปฏิบัติต่ออัล-ซิซีในฐานะผู้ปกครองเผด็จการของอียิปต์ ซึ่งเขาก็ยังไม่ดำเนินการใด ๆ อีกเช่นกัน สหรัฐอเมริกาควรจัดการกับปัญหาการแทรกแซงของซาอุดิอาระเบียในสงครามเยเมน และแก้ไขปัญหาต่างๆ เช่น ความขัดแย้งระหว่างอียิปต์กับเอธิโอเปียเหนือแม่น้ำไนล์ แต่ไบเดนได้ดำเนินตามนโยบายความสงบในตะวันออกกลาง เพื่อให้การแก้ไขปัญหาและความขัดแย้งต่างๆ อยู่ในสภาพที่คลุมเครือ

หลักฐานแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไบเดนมีส่วนเกี่ยวข้องในหลายด้าน ตั้งแต่ตะวันออกกลางไปจนถึงแอฟริกาเหนือ และต้องกำหนดภารกิจที่ชัดเจนสำหรับแก้ไขปัญหาที่หลากหลาย รัฐบาลไบเดนเข้าไปพัวพันในประเด็นต่างๆ และต้องมีแผนสำหรับสิ่งเหล่านี้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปนั้น มันไม่สอดคล้องกับแผนที่ได้วางไว้ และนี่เป็นเหตุผลที่ว่า  สหรัฐควรเปลี่ยนนโยบายใหม่ในตะวันออกกลาง …….. !!!

source:

https://akharinkhabar.ir