รายละเอียดบางอย่างเกี่ยวกับการโจมตีด้วยขีปนาวุธของอิหร่านต่อฐานทัพสหรัฐฯ Ein al-Assad
นายพลจัตวา อามีร์ อาลี ฮัจญี ซอเดะห์ ผู้บัญชาการกองทัพอวกาศในสังกัดกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามอิหร่าน (IRGC) ออกมาแถลงให้รายละเอียดบางอย่างเกี่ยวกับการโจมตีด้วยขีปนาวุธของอิหร่านต่อฐานทัพสหรัฐฯในอิรักเมื่อวันนี้ (พฤหัสบดี) ว่า “ การโจมตีด้วยขีปนาวุธต่อหนึ่งในฐานทัพที่สำคัญที่สุดของสหรัฐอเมริกาในปฏิบัติการที่มีชื่อว่า “ชะฮีดสุไลมานี” (Martyr Soleimani) เป็นการเริ่มต้นของการปฏิบัติการครั้งใหญ่ที่จะดำเนินการต่อไปทั่วทั้งภูมิภาค”
มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายสิบคนในฐานทัพ Ein al-Assad
เขากล่าวเสริมว่า เราไม่ได้มีเป้าหมายที่จะสังหารใครก็ตาม อย่างไรก็ตามมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายสิบคนและดำเนินการเคลื่อนย้ายโดยเครื่องบิน C-130 เราสามารถดำเนินการในลักษณะที่ทำให้ทหารสหรัฐ 500 คนจะถูกฆ่าตายในขั้นตอนแรก และหากพวกเขาตอบสนองในขั้นตอนที่สองและสาม การบาดเจ็บล้มตายของพวกเขาจะสูงถึง 4,000 ถึง 5,000 คน ภายใน 48 ชั่วโมง
9 เที่ยวบินลำเลียงผู้บาดเจ็บ
นายพลจัตวา อามีร์ อาลี ฮัจญี ซอเดะห์ กล่าวว่า ปฏิบัติการที่มีชื่อว่า “ชะฮีดสุไลมานี” มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายสิบคนและดำเนินการเคลื่อนย้ายไปยังอิสราเอลและจอร์แดนโดยเครื่องบิน C-130
ผู้บัญชาการกองทัพอวกาศในสังกัดกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามอิหร่าน (IRGC) กล่าวเสริมว่า พวกเขากล่าวว่าได้เคลียร์พื้นที่และอพยพออกจากฐานทัพไปแล้ว แต่ในขณะที่เราปฏิบัติการ มีกองกำลังอยู่ในฐานทัพราว 2,000-2,500 นาย หลังปฏิบัติการกองกำลังอย่างน้อยเครื่องบิน C-130 บินขึ้นลง 9 เที่ยวบินเพื่อขนส่งผู้บาดเจ็บไปยังจอร์แดนและอิสราเอล และเฮลิคอปเตอร์ Shinok บางลำก็ได้ลำเลียงส่งผู้บาดเจ็บไปยังโรงพยาบาลของอเมริกาในเขตบริเวณสถานทูตอเมริกาในแบกแดด
ผู้บัญชาการกองทัพอวกาศในสังกัดกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามอิหร่าน (IRGC) ได้ชี้ถึงความพร้อมของอเมริกาสำหรับการโจมตี ว่า อเมริกาได้ออกมาประกาศว่ามีการเตรียมพร้อมในระดับสูงมาเป็นเวลาหลายวัน และก่อนการปฏิบัติการ พวกเขามีการเฝ้าระวังและเตรียมพร้อมเครื่องบิน 17 ลำ รวมถึง MQ-9 7ลำ ที่มีการล็อคเป้าหมาย เฝ้าระวังและการโจมตี และเครื่องบินอีก 6-7 ลำ อย่างใจจดใจจ่อ เราคิดว่าพวกเขาจะโจมตีและจู่โจมเรา แต่เรากลับเห็นว่าพวกเขาได้แต่รอให้เราโจมตีฝ่ายเดียวและเมื่อถูกโจมตีแล้วพวกเขาก็สงบลงเล็กน้อย
ยิงขีปนาวุธ 13 ลูกไปยังฐานทัพของสหรัฐฯ
ผู้บัญชาการกองทัพอวกาศในสังกัดกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามอิหร่าน (IRGC) ย้ำว่า ขีปนาวุธทั้งหมดพุ่งเข้าหาเป้าหมายอย่างแม่นยำและไม่มีการยิงพลาดเป้าแม้เพียงนัดเดียว
ผู้บัญชาการกองทัพทางอากาศของ IRGC กล่าวถึงความพร้อมของกองทัพในการเผชิญหน้ากับสหรัฐอเมริกาว่า :เรายิงขีปนาวุธ 13 ลูกไปยังฐานทัพของสหรัฐฯ แต่ทั้งนี้เราก็พร้อมที่จะยิงขีปนาวุธ “สองสามร้อยลูก” ในเวลาไม่กี่ชั่วโมงแรก และเนื่องจากเราคิดว่าหากทั้งสองฝ่ายไม่มีการยับยั้ง ความขัดแย้งนี้จะดำเนินต่อไปในระยะเวลา จำกัด ในเวลาสองวันถึงหนึ่งสัปดาห์ ดังนั้นเราได้เตรียมขีปนาวุธหลายพันลูกไว้แล้วเพื่อรองรับสถานการณ์เหล่านี้
นายพลจัตวา อามีร์ อาลี ฮัจญี ซอเดะห์ ชี้ว่า การลอบสังหารนายพลกอเซ็ม สุไลมานี เป็นหนึ่งในข้อผิดพลาดทางประวัติศาสตร์และยุทธศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอเมริกาและกล่าวว่า การโจมตีด้วยขีปนาวุธไปยังหนึ่งในฐานที่สำคัญที่สุดของสหรัฐฯ ภายใต้การปฏิบัติการที่มีชื่อว่า“ชะฮีดสุไลมานี” (Martyr Soleimani) เป็นการเริ่มต้นของการปฏิบัติการครั้งสำคัญที่จะดำเนินต่อไปทั่วทั้งภูมิภาค
ฐานทัพที่มีส่วนร่วมลอบสังหารชะฮีดนายพลกอเซ็ม สุไลมานี
ผู้บัญชาการกองทัพทางอากาศของ IRGC กล่าวว่า ภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังจากการลอบสังหารนายพลกอเซ็ม สุไลมานี เราสามารถระบุฐานทัพที่มีส่วนร่วมในการลอบสังหาร ซึ่งมี ฐานทัพ ทาจี (Taji ) อีน อัลอะซาด (Ein al-Assad)ในอิรัก ฐานทัพชะฮีดมะอ์ฟาร์จอร์แดน และฐานทัพอาลาสาเล็มในคูเวต มีส่วนร่วมในแผนการลอบสังหารนายพลกอเซ็ม สุไลมานี
นายพลจัตวา อามีร์ อาลี ฮัจญี ซอเดะห์ กล่าวว่า ตัวเลือกแรกของเราที่จะโจมตีเพื่อการล้างแค้นนี้คือการเลือกฐานทัพทาจิและได้เราได้เลือกโจมตีเป้านี้เป็นลำดับแรก แต่ในท้ายที่สุดเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนการปฏิบัติการ เราเปลี่ยนเป้าหมายและเลือกฐานทัพ Ein al-Assad
สาเหตุเปลี่ยนเป้าหมายในตัวเลือกแรก
เขากล่าวเสริมว่า เพราะฐานอัล-ทาจิใกล้กับเมืองกาซิเมนและเป็นฐานทัพร่วมระหว่างอิรักและอเมริกา และเรากังวลว่าการโจมตีด้วยขีปนาวุธและการทิ้งระเบิดจะส่งผลกระทบต่อพลเรือนและนั่นเป็นเหตุผลที่เราเปลี่ยนเป้าหมาย เราจึงเลือกฐาน Ein al Assad ซึ่งเป็นฐานอเมริกันที่ใหญ่ที่สุดในอิรักและอาจกล่าวได้ว่าใหญ่ที่สุดในภูมิภาค
ศูนย์บัญชาการ Ein al-Asad ถูกทำลาย
ผู้บัญชาการกองทัพทางอวกาศของ IRGC กล่าวว่าฐานนี้ตั้งอยู่ห่างจากกรุงแบกแดด 170 กิโลเมตร และเป้าหมายที่เราเลือกเพื่อโจมตีคือเครื่องจักรสงครามของสหรัฐฯ ศูนย์การควบคุมและบัญชาการของอเมริกา และโจมตีหน่วยโดรนและเฮลิคอปเตอร์ที่สำคัญของสหรัฐฯ และการปฏิบัติการดังกล่าวเราได้ทำลายศูนย์บัญชาการหลักของพวกเขาในฐาน Ein al-Asad
โจมตีด้วยขีปนาวุธ ฟาเตะห์ –313
นายพลจัตวา อามีร์ อาลี ฮัจญี ซอเดะห์ กล่าวว่า Ein al-Assad เป็นฐานที่ใหญ่ที่สุดและห่างไกลที่สุดจากอาณาเขตและดินแดนของสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ในการปฏิบัติการครั้งนี้เราใช้ขีปนาวุธ ฟาเตะห์ -313 และขีปนาวุธ กิยาม เพื่อทำลายเป้าหมายที่กำหนดไว้
ปฏิบัติการสงครามอิเล็กทรอนิกส์ที่สำคัญต่อโดรนของอเมริกา
ผู้บัญชาการกองทัพทางอากาศของ IRGC กล่าวว่า มีอีกหนึ่งปฏิบัติการที่เรายังไม่ได้เอ่ยถึงจนถึงตอนนี้หลังจากการปฏิบัติการของขีปนาวุธ และด้วยอุปกรณ์พิเศษที่เราได้เตรียมไว้แล้วคือ ปฏิบัติการสงครามอิเล็กทรอนิกส์ที่สำคัญซึ่งเราเริ่มขึ้นประมาณ 15 นาทีหลังจากการปฏิบัติการโจมตี และโดรนทั้งหมดที่บินอยู่เหนือพื้นที่ Ein al-Assad ได้ออกจากระบบการควบคุมของอเมริกาและเราทำลายลิงค์การสื่อสารและลิงค์วิดีโอ จึงสร้างความหวาดกลัวและหวาดผวาต่อพวกเขา
เขากล่าวเสริมว่า เมื่อขีปนาวุธได้โจมตีเป้าหมายแล้ว ความต้องการที่สำคัญที่สุดสำหรับอเมริกาคือการรับรู้ขอบเขตของความเสียหายเท่าไหร่ซึ่งภารกิจนี้เป็นของกล้องจับภาพของโดรน MQ-9 จำนวน 8 ลำที่บินอยู่เหนือพื้นที่เพื่อเก็บและส่งไปยังศูนย์บัญชาการและเมื่อเครื่องบินออกจากการควบคุมจึงไม่สามารถทำอะไรได้
อามีร์ อาลี ฮัจญี ซอเดะห์ กล่าวว่า หนี้เลือดของชะฮีดของเราเป็นมีค่างวดที่สูงลิ่ว ซึ่งไม่สามารถกำหนดค่างวดของมันได้ แน่นอนว่าการล้างแค้นด้วยการโจมตีฐานทัพอเมริกัน หรือยิงเครื่องบินของพวกเขา หรือแม้แต่การฆ่าทรัมป์ก็ไม่มีค่าพอที่จะสามารถอาจทดแทนหนี้เลือดของชะฮีดได้ และหนี้เลือดและการล้างแค้นพวกเขาที่แท้จริงคือการขับไล่อเมริกาออกไปจากภูมิภาคนี้อย่างสมบูรณ์ ตามที่ผู้นำสูงสุดอิหร่านกล่าว
ยิงขีปนาวุธโจมตีฐานสหรัฐอเมริกาครั้งแรกหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
อามีร์ อาลี ฮัจญี ซอเดะห์ กล่าวว่า หลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง ยังไม่เคยมีการยิงขีปนาวุธโจมตีฐานทัพอเมริกาและยอมรับความรับผิดชอบและนี่คือครั้งประวัติการณ์ที่ต้องบันทึก นี่คือการโจมตีด้วยขีปนาวุธที่แม่นยำและตามที่ได้กำหนดเป้าเพื่อตอบโต้การลอบสังหารผู้นายพลกอเซ็ม สุไลมานี ตามความเห็นชอบของทุกกลุ่มและการเรียกร้องของประชาชน ซึ่งมันเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงในระดับภูมิภาค
เขาอธิบายเสริมว่า ฉันอยากจะแนะนำให้คนอเมริกันเรียนรู้บทเรียนจากการปฏิบัติการเมื่อเร็ว ๆ นี้และกดดันผู้นำของพวกเขาให้เตรียมเก็บกระเป๋าออกจากพื้นที่ด้วยต้นทุนที่ต่ำ และย้ำกล่าวว่า “เราขอกล่าวกับประเทศอาหรับว่า พวกคุณเห็นแล้วว่าอเมริกาไม่ได้เข้าสู่สงครามสำหรับพวกคุณ และในอนาคตก็จะไม่มีวันเกิดขึ้นได้
ผู้บัญชาการกองทัพทางอากาศของ IRGC กล่าวว่า แน่นอนว่าทุกประเทศและกลุ่มขบวนการต่อสู้จะพยายามขับไล่อเมริกาออกไปจากภูมิภาค เราหวังว่าทุกรัฐบาลก็จะเดินหน้าต่อไปเช่นกันเหมือนกับรัฐบาลอิรักและรัฐสภาที่ได้อนุมัติแผนการถอนกองทหารสหรัฐฯออกไปจากประเทศอิรัก ประเทศอื่นๆ ก็ต้องเดินหน้าต่อไปในเรื่องนี้ มิฉะนั้นแล้วประชาชาติในภูมิภาคนี้จะใช้กำลังบังคับขับไล่อเมริกาออกจากภูมิภาค
source:
https://www.farsnews.com/news/