8 แบบฉบับด้านจริยธรรมของศาสดาอิสลามในการทำ“ศึกสงคราม” (ตอนที่ 1)

150

หลังจากเหตุการณ์ 11  กันยายน การให้ร้ายใหม่ๆก็ได้เพิ่มเติมเข้ามาจากการให้ร้ายต่างๆในอดีต พวกเขากล่าวหาอิสลามและชาวมุสลิมว่าเป็น ผู้ก่อการร้ายและสิ่งนี้เองที่ทำให้ชาวมุสลิมที่อาศัยอยู่ในประเทศต่างๆของตะวันตกต้องเผชิญกับการถูกกลั่นแกล้งและถูกทำร้ายต่างๆนานา 

เมื่อเราทบทวนและตรวจสอบประวัติศาสตร์เราจะพบว่าในยุคแรกของอิสลามมีสงครามจำนวนมากเกิดขึ้นในระหว่างชาวมุสลิม บรรดาผู้ตั้งภาคีและชาวยิว และสิ่งนี้เองจึงเป็นสาเหตุทำให้บรรดานักบูรพาคดีได้มีคำพูดมากมายในการต่อต้านประเด็นของการญิฮาดของอิสลามอันเกิดจามความอคติ และพวกเขาได้กล่าวหาอิสลามว่าใช้ความรุนแรงและการบีบบังคับด้วยดาบ เพื่อบังคับประชาชนให้ยอมรับความเชื่อของตน และพวกเขาพยายามที่จะแสดงให้เห็นว่า ในทางตรงกันข้ามนั้นอิสลามถูกแนะนำให้ชาวโลกได้เห็นในภาพลักษณ์ที่ป่าเถื่อนรุนแรงและหยาบคาย!!!

หลังจากเหตุการณ์ 11  กันยายน การให้ร้ายใหม่ๆก็ได้เพิ่มเติมเข้ามาจากการให้ร้ายต่างๆในอดีต พวกเขากล่าวหาอิสลามและชาวมุสลิมว่าเป็น “ผู้ก่อการร้าย” และสิ่งนี้เองที่ทำให้ชาวมุสลิมที่อาศัยอยู่ในประเทศต่างๆของตะวันตกต้องเผชิญกับการถูกกลั่นแกล้งและถูกทำร้ายต่างๆนานา  ครั้งแล้วครั้งเล่าที่พวกเขาต้องถูกจับกุมโดยไม่มีหลักฐานใดๆ ถูกสอบปากคำและถูกทรมาน จากบรรยากาศเหล่านี้เองทำให้ในช่วงหลายปีมานี้พวกเขาได้แสดงการดูหมิ่นเหยียดหยามต่อท่านศาสดาของอิสลามอย่างต่อเนื่อง

เมื่อพิจารณาถึงข้อกล่าวหาต่างๆจากบรรดาผู้มีอคติและเจตนาร้ายที่ว่า อิสลามเป็นศาสนาที่ใช้ดาบในการเผยแพร่นั้น จึงได้เกิดคำถามขึ้นมาว่า สงครามต่างๆในยุคแรกของอิสลามนั้นมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่? อิสลามได้ปฏิบัติไม่ดีต่อบรรดาเชลยศึกหรือไม่? และได้สร้างความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมในการดำเนินชีวิตหรือไม่?

ในบทความชิ้นนี้พยายามที่จะให้คำตอบต่อคำถามต่างๆข้างต้นโดยการอ้างอิงถึงแบบฉบับในการญิฮาดของท่านศาสดา(ศ) ตัวอย่างหนึ่งจากแบบฉบับทางด้านจริยธรรมในการทำสงครามของท่านศาสดา(ศ)

แบบฉบับทางด้านจริยธรรมในการทำสงครามของท่านศาสดา(ศ) ประการที่ 1

1  เริ่มต้นเรียกร้องเชิญชวนก่อนการญิฮาด

เนื่องจากวัตถุประสงค์ในการญิฮาดในอิสลามนั้น ไม่ใช่เพื่อการเข่นฆ่าและการทำลายล้าง ทว่าแรงจูงใจหลักของการญิฮาดนั้นคือการเปิดเส้นทางที่ถูกปิด และการทำให้อิสลามไปถึงบุคคลอื่นๆ ด้วยเหตุนี้หนึ่งในแบบฉบับทางด้านการญิฮาดของท่านศาสดาก็คือ ก่อนที่การเผชิญหน้าใดๆด้านการทหารจะเกิดขึ้น ท่านจะอธิบายให้ศัตรูได้รับรู้ถึงเนื้อแท้และเจตนารมณ์ต่างๆของอิสลามด้วยเหตุผลและการอธิบายที่ยอมรับได้  และก่อนเรียกร้องเชิญชวนมาสู่การยอมรับในเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าและอิสลามนั้น ท่านจะไม่เริ่มต้นสงครามและการต่อสู้อย่างเด็ดขาด

โดยพื้นฐานแล้วหนึ่งสาเหตุสำคัญของความก้าวหน้าและการขยายตัวของอิสลามในตลอดช่วงศตวรรษแรกของอิสลามนั้นก็คือการปฏิบัติตามหลักการ “ความจำเป็นในการเชิญชวนสู่อิสลามก่อนการญิฮาด” ที่มีบทบาทมากที่สุดในความสำเร็จของอิสลาม

อิมามอาลี(อ)กล่าวว่า เมื่อท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺได้ส่งฉันไปยังเยเมน ท่านกล่าวว่า

โอ้อาลี เจ้าอย่าได้ทำสงครมกับใคร จนกว่าเจ้าจะได้เรียกร้องเชิญชวนเขาสู่อิสลามเสียก่อน ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ  หากอัลลอฮฺผู้ทรงเกริกเกียรติผู้เกรียงไกร ชี้นำทางผู้คนหนึ่งด้วยมือของเจ้า ย่อมดีสำหรับเจ้ายิ่งกว่าสิ่งที่ดวงอาทิตย์ได้ขึ้นและตกบนมัน (หนังสือ อัลกาฟี เชคกุลัยนี เล่มที่๓ หน้า ๒๕)

ในเหตุการณ์สงครามค็อยบัร ก็เช่นกัน ท่านศาสดาได้กล่าวกับอิมามอาลี(อ)ว่า ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ หากอัลลอฮฺนำทางคนผู้หนึ่งเนื่องจากเจ้า ย่อมดีกว่าสำหรับเจ้ายิ่งกว่าอูฐขนสีแดง (หนังสือบิฮารุลอันวาร์ เล่ม ๒๑ หน้า ๓)

ใช่แล้ว!  ท่านศาสดาแห่งอิสลามแม้จะอยู่ในสถานการณ์ของสงคราม ท่านก็ยังคงคิดที่จะให้การชี้นำประชาชน และสิ่งนี้เองทำให้เข้าใจได้เป็นอย่างดีว่า สงครามทั้งหมดเหล่านี้ก็เพื่อการชี้นำทางแก่ประชาชน !!! 

 

โปรดติดตามตอนที่ 2