ความสัมพันธ์ระหว่างพันธมิตรทางทหารที่สำคัญของสหรัฐอเมริกากับซาอุดิอาระเบีย ได้รับความสนใจ และถูกหยิบยกขึ้นมาตรวจสอบ เนื่องจากตุรกีอ้างว่า ราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบียเป็นตัวการที่อยู่เบื้องหลังการหายตัวไปของนักข่าวที่มีชื่อเสียง ซึ่งสถานกงสุลริยาดในกรุงอิสตันบูล เป็นสถานที่สุดท้ายที่มีรายงานการปรากฎตัวของเขา
สหรัฐฯได้ลงทุนร่วมกับซาอุดีอาระเบียตลอดระยะเวลาในประวัติศาสตร์ โดยถือว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ของชาวมุสลิมฝ่ายอนุรักษ์นิยมสุหนี่นี้ เป็นหุ้นส่วนที่มั่นคงในตะวันออกกลางของตน ขณะเดียวกันประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในปัจจุบันได้ผูกมัดความสัมพันธ์ของเขาไว้กับมกุฎราชกุมาร มูฮำหมัด บินซัลมาน ในฐานะนายหน้าซื้อขายอิทธิพลในภูมิภาคสำหรับประเทศสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม ในวันพุธที่ผ่านมา ดูเหมือน ทรัมป์จะพยายามล้มเลิกความกังวลของฝ่ายนิติบัญญัติ เกี่ยวกับการที่คณะบริหารของตนได้คอยให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่ซาอุดิอารเบีย ชาติผู้รับซื้ออาวุธระหว่างประเทศรายใหญ่ของสหรัฐฯ แม้จะมีหลักฐานที่ได้มาจากผู้สื่อข่าว และนักวิจารณ์ รวมถึงผู้สนับสนุนสำนักข่าวชั้นนำของสหรัฐฯ The Washington Post ว่า นักข่าว Jamal Khashoggi ที่โด่งดังถูกฆ่าตายภายในอาคารสถานกงสุลก็ตาม
ท่ามกลางข้อเท็จจริงที่ว่า สมาชิกวุฒิสภา “กำลังพูดถึงมาตรการคว่ำบาตรชนิดต่าง ๆ” ต่อกรุงริยาด แต่ทรัมป์กลับปกป้องคู่หูของเขา ด้วยการอ้างว่า ซาอุดีอาระเบียกำลัง “ใช้เงินจำนวน 110 พันล้านเหรียญ เพื่อ(ซื้อ)อุปกรณ์ทางทหารและสิ่งต่างๆที่ช่วยสร้างงาน อย่างเช่น อาชีพ และอื่นๆ สำหรับประเทศนี้”
“ผมไม่ชอบแนวความคิด เพื่อทำการระงับการลงทุนที่จะเข้ามายังสหรัฐฯ มูลค่ากว่า 110 พันล้านเหรียญ” – ทรัมป์กล่าวเสริม ขณะอ้างถึงตัวเลขซ้ำอีกครั้ง แม้ผู้เชี่ยวชาญจะกล่าวแย้งว่ามันไม่ได้สะท้อนถึงความเป็นจริงของสถานการณ์
ในระหว่างการเยือนริยาดในเดือนพฤษภาคมปี พ. ศ. 2560 (ค.ศ. 2017) ทรัมป์ประกาศถึง “ข้อตกลงหลัก” ที่ “รวมถึงการประกาศแผนซื้ออาวุธเพื่อกิจการป้องกันประเทศซาอุดีอาระเบียมูลค่า 110 พันล้านเหรียญดอลลาร์” อย่างไรก็ตาม ภายหหลังจากนั้นไม่นาน Bruce Riedel จากศูนย์นโยบายตะวันออกกลางของสถาบัน Brookings กลับชี้ว่าข้อตกลงดังกล่าวเป็น ” ข่าวปลอม” (“fake news”) โดยได้กล่าวแย้งบนพื้นฐานของการสนทนากับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมการป้องกัน ณ อาคารรัฐสภาสหรัฐฯ ทั้งนี้ Riedel ระบุว่า ข้อตกลงที่ถูกกล่าวอ้าง แท้จริงแล้วคือ “ตัวอักษรของกลุ่มคำที่บอกถึงความน่าสนใจ หรือการมีเจตนา (เพียงเท่านั้น) แต่มันไม่ใช่สัญญา ”
จากการพูดคุยกับหนังสือพิมพ์ The Washington Post – Riedel กล่าวว่า ตัวเลขจำนวน 110 ล้านเหรียญ ที่ทรัมป์มักจะอ้างถึงบ่อยครั้ง “ยังคงเป็นเท็จ” โดยได้ตั้งข้อสังเกตว่า กระทรวงการต่างประเทศได้ประกาศข้อตกลง 6 ข้อที่มีมูลค่ารวม 4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ นับตั้งแต่ปีพ. ศ. 2560 ที่ทรัมป์เดินทางไปยังซาอุดีอาระเบีย อย่างไรก็ตาม หลายข้อเสนอก็ไม่มีความสมบูรณ์ ยังไม่มีวันที่จัดส่ง หรือ หากมี ก็เป็นวันที่ย้อนไปหลายปี นอกจากนี้ ยังระบุถึงกรณีของอดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา ซึ่งได้เสนอขายอาวุธมูลค่ารวม 115 พันล้านเหรียญแก่ริยาด ทว่ามีเพียงครึ่งหนึ่งโดยประมาณจากจำนวนนี้เท่านั้น ที่ส่งผลให้เกิดข้อตกลงตามจริง
ถึงกระนั้นก็ตาม ซาอุดิอาระเบียก็ยังคงป็นผู้นำ ในรายชื่อการส่งออกอาวุธของสหรัฐฯ และยังดำรงสถานะเป็นผู้นำเข้าอาวุธรายใหญ่อันดับสองของโลก ซาอุดิอาระเบียได้รับอาวุธมูลค่ากว่า 9 พันล้านเหรียญจากสหรัฐฯ ในระหว่างปีพ. ศ. 2556 ถึงปี พ.ศ. 2560 และในปีที่แล้วเพียงปีเดียว สามารถรวบรวมได้กว่า 3.4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งมีมูลค่ามากกว่าบรรดาลูกค้าจากห้าอันดับต้นถัดมาของสหรัฐฯรวมกัน ได้แก่ ออสเตรเลีย อังกฤษ อิสราเอล อิรัก และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ตามข้อมูลที่ออกโดย สถาบันวิจัยสันติภาพนานาชาติสตอกโฮล์ม – (แผนภูมิข้างใต้)
คณะบริหารรัฐบาลทรัมป์ได้เพิ่มยอดขายอาวุธให้กับซาอุดิอาระเบีย ท่ามกลางเสียงวิพากษ์ วิจารณ์ ทั้งจากภายในประเทศ และต่างประเทศ กรณีสงครามเยเมน ที่ซึ่งรัฐบาลผสมนำโดยซาอุดีอาระเบียได้ถูกกล่าวหาว่าเป็นอาชญากรสงคราม ขณะกำลังต่อสู้ เพื่อเอาชนะกลุ่มต่อต้านมุสลิมชีอะฮ์ ซึ่งรู้จักกันในนามกองกำลัง อันศอรุลลอฮ์ หรือ Houthis โดยสหรัฐฯ ซาอุดิอารเบีย และพันธมิตรระดับภูมิภาคของพวกเขา ตั้งข้อสงสัยว่า กลุ่มนี้มีความสัมพันธ์กับศัตรูร่วมกันของพวกเขา นั่นคือ อิหร่าน
ในเดือนสิงหาคม ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อในเยเมน ซึ่งสหประชาชาติได้อธิบายว่าเป็น “วิกฤตการณ์ด้านมนุษยธรรมที่เลวร้ายที่สุดของโลก” ได้รับความสนใจอย่างน้อยมากในข่าวพาดหัวของสื่อตะวันตก เมื่อกองกำลังทางอากาศของซาอุดีอาระเบีย ทำการโจมตีรถโรงเรียน ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนกว่า 54 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นเด็กเล็ก ในบริเวณทางตอนเหนือของกรุง Sana ซึ่งปกครองโดยกองกำลัง Houthi ทั้งนี้ เป็นที่เชื่อกันว่า ระเบิดที่ใช้ในการโจมตี ซึ่งซาอุดีอาระเบียได้แถลงคำขอโทษในภายหลังนั้น ซาอุฯ ได้รับมาผ่านการจัดเตรียมโดยสหรัฐฯ
เหตุการณ์ดังกล่าว พร้อมกับบทบาทของซาอุดีอาระเบียในชะตากรรมของนักข่าว Khashoggi และเสียงคัดค้านอื่น ๆ ในราชอาณาจักร ได้กดดันให้สมาชิกสภานิติบัญญัติ จำเป็นต้องตั้งคำถามไปยังการช่วยเหลือและสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ที่สหรัฐฯมีต่อซาอุดีอาระเบีย
ในวันพุธที่ผ่านมา กลุ่มสมาชิกพรรครีพับลิกัน ได้เขียนหนังสือถึงรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ไมค์ ปอมเปโอ โดยพวกเขาได้วิพากษ์ วิจารณ์การบริหารของทรัมป์ สำหรับการรับรองการขายอาวุธให้แก่ซาอุดิอาระเบีย และ UAE เมื่อเดือนที่แล้ว เนื่องจาก “รัฐบาลผสม นำโดยซาอุดีอาระเบีย ได้ล้มเหลวในการปฏิบัติตามข้อเสนอแนะของสหรัฐฯ ขณะที่ ยอดการเสียชีวิตและการบาดเจ็บล้มตายของพลเรือน จากการโจมตีทางอากาศของรัฐบาลผสม ได้เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ”
นอกจากนี้ หลายภาคส่วนยังได้ เรียกร้องให้ตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวของทรัมป์ กับราชวงศ์ปกครองในริยาด เนื่องจากทรัมป์ ล้มเหลวในการแต่งตั้ง หรือแม้แต่เสนอชื่อ เอกอัครราชทูตไปประจำยังประเทศซาอุดีอาระเบีย แต่เขากลับพึ่งพิงกิจการทางการทูตกับ Jared Kushner บุตรเขย และที่ปรึกษาอาวุโส เพื่อจัดการกับรัฐคาบสมุทรอาหรับนี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศ ที่ให้การสนับสนุน การตัดสินใจของทรัมป์ ว่าด้วยการถอนตัวออกจากกากข้อตกลงนิวเคลียร์ปี 2015 กับอิหร่าน
มีรายงานว่า Kushner เป็นเครื่องมือในการโน้มน้าวให้บริษัทผลิตอาวุธ เพื่อการป้องกันประเทศของสหรัฐฯ มอบข้อเสนอที่ถูกกว่าแก่ซาอุดีอาระเบียในปีพ. ศ. 2560 และบางคนยังอ้างว่า เจ้าชายบินซัลมาน กล่าวว่า Kushner “อยู่ในกระเป๋าเสื้อของเขา” เมื่อต้นปีนี้ 6 พรรคเดโมแครตได้ยื่นอุทธรณ์ต่อ FBI เพื่อตรวจสอบ Kushner ด้วยข้อหา เปิดเผยข้อมูลลับให้แก่ซาอุดิอารเบีย ผนวกกับกรณีการหายตัวไปอย่างน่าสงสัยของนักข่าว Khashoggi ได้กระตุ้นการตอบสนองจากฝ่ายบริหาร ซึ่งได้เรียกร้องให้มีการขยายการทบทวนความเป็นพันธมิตรร่วมกันระหว่างสหรัฐ – ซาอุดิอาระเบีย
Source: whatsupic