อิสราเอลคือทุกสิ่งทุกอย่างที่สหรัฐฯต้องการให้ตะวันออกกลางเป็น – ไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสหรัฐอเมริกาประกาศในสุนทรพจน์ ขณะวิพากษ์วิจารณ์แนวทางของคณะบริหารโอบามากรณีอิหร่าน ว่าคล้ายคลึงกับ “ภาพยนตร์การ์ตูนดิสนีย์”
ขณะกำลังพูดในงานเลี้ยงประจำปีของสถาบันชาวยิวเพื่อความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ (JINSA) ณ กรุงวอชิงตัน เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ปอมเปโอแย้งว่า อิสราเอล “เป็นประชาธิปไตย และมีความรุ่งเรือง มีความต้องการสันติภาพ และเป็นประเทศที่ให้เสรีภาพกับสื่อ และมีเศรษฐกิจที่เฟื่องฟู” โดยไมค์ได้กล่าวว่า อิสราเอล คือ “ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราปราถนาอยากให้ภูมิภาคตะวันออกกลางทั้งหมดเป็น เมื่อก้าวไปข้างหน้า”
นอกจากนี้ ปอมเปโอ ยังกล่าวพาดพิงศัตรูหมายเลขหนึ่งของอิสราเอล อย่างอิหร่านว่า มี “ผู้นำที่ทุจริต” ผู้ซึ่ง “ทำร้ายสิทธิมนุษยชนของประชาชนของตน และให้เงินสนับสนุนการก่อการร้ายในทุกภาคส่วนของตะวันออกกลาง”
จากนั้นยังได้วิพากษ์วิจารณ์คณะบริหารรัฐบาลโอบาม่า สำหรับความพยายามเข้าไปแก้ปัญหาในอิหร่านด้วยสันติวิธี
“ประธานาธิบดีโอบามาคิดว่า ถ้าเขาผ่อนปรนกับอิหร่าน ด้วยการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ และส่งมอบเงินสดไปยังกรุงเตหะราน เขาก็อาจจะสามารถโน้มน้าวให้ผู้นำอิหร่านประพฤติตนที่ดีได้ … แต่ผู้นำเหล่านี้ไม่ได้มาจากภาพยนตร์(การ์ตูน) ของดิสนีย์” – ปอมเปโอกล่าว ก่อนจะเดินหน้ามอบภาพลักษณ์ให้ผู้นำอิหร่านในฐานะ “ผู้ร้าย” เขากล่าวว่า ผู้นำอิหร่าน คือผู้ที่ “ผลักดันบทสวด – ขอความพินาศจงประสบแด่อเมริกา”
ภายหลังจากหลายทศวรรษที่บรรดาประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้รักษาหน้ากากของสหรัฐฯ ในฐานะ “นายหน้าที่ซื่อสัตย์” สำหรับการเจรจาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและเพื่อนบ้านอาหรับ อย่างไรก็ดี ประธานาธิบดีทรัมป์ในปัจจุบัน กลับแสดงอาการเข้าข้างอิสราเอลอย่างชัดเจน โดยการย้ายสถานทูตสหรัฐฯ จากกรุงเทลอาวีฟไปยังกรุงเยรูซาเล็ม แม้ว่าสหรัฐฯจะตระหนักว่า มันเป็นการละเมิดมติของสหประชาชาติ และรับรู้ดีว่า การตัดสินใจดังกล่าวจะสร้างความขุ่นเคืองให้แก่โลกมุสลิมส่วนใหญ่ก็ตาม
วอชิงตันยังได้ตัดงบประมาณไปยังหน่วยงานต่างๆของสหประชาชาติ ที่ทำหน้าที่ช่วยเหลือชาวปาเลสไตน์ผู้พลัดถิ่น รวมถึงการช่วยเหลือโดยตรงแก่เจ้าหน้าที่ในปาเลสไตน์ และในกาซา ในขณะเดียวกันกองกำลังของอิสราเอลได้สังหารชาวปาเลสไตน์ที่ดำเนินการประท้วงตามแนวกั้นเขตฉนวนกาซ่า ตั้งแต่เดือนมีนาคม แล้วเกือบ 200 คน และทำให้พวกเขาได้รับบาดเจ็บอีกกว่าจำนวน 20,000 ราย
นอกเหนือจากการให้การสนับสนุนอิสราเอลอย่างไร้สำนึก สหรัฐฯภายใต้รัฐบาลทรัมป์ ยังมุ่งหน้าสู่ความเป็นปรปักษ์กับอิหร่านอย่างโจ่งแจ้ง ในเดือนมีนาคม ทรัมป์ได้ถอนตัวออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์ปี 2015 ซึ่งได้มีการเจรจากันในรัฐบาลโอบามา ถึงแม้ว่ามันจะได้รับการยกย่องว่า เป็นข้อตกลงที่มีประสิทธิผลจากบรรดาผู้ลงนามอื่นๆ ไม่เพียงเท่านั้น ทรัมป์ยังเดินหน้ากำหนดมาตรการคว่ำบาตรต่างๆต่อกรุงเตหะรานอีกด้วย ทั้งยังดำเนินการส่งนักการทูตสหรัฐฯไปคุกคามประเทศอื่น ๆ ที่ยังกล้าเสี่ยงจะทำธุรกิจร่วมกับอิหร่านอีกว่า จะได้รับการลงโทษเช่นเดียวกัน หากยังฝืนเป็นมิตรกับอิหร่านต่อไป
Source: rt.com