วิเคราะห์- ข้อตกลงอิหร่าน ทำสหรัฐฯเสียชื่อเสียง: ลดความน่าเชื่อถือ กรณีเกาหลีเหนือ!

381

Sputnik News: ประธานาธิบดี โดนัลด์ทรัมป์ ตัดสินใจถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์ของอิหร่าน การกระทำดังกล่าวส่งผลทำให้สหรัฐฯเสื่อมเสียชื่อเสียง และยังเป็นการลดทอนความเชื่อมั่นในการเจรจากับเกาหลีเหนือ – Daniel McAdams กรรมการบริหาร สถาบัน Ron Paul เพื่อสันติภาพและความเจริญรุ่งเรือง สหรัฐฯ กล่าวกับสำนักข่าว Sputnik เมื่อวันอังคาร

“คำถามที่เกิดขึ้นในทันที คือ อิหร่านจะมีปฏิกิริยาอะไร และชาติยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และเยอรมนีจะโต้ตอบอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นตามมา คำถามอื่น ๆ คือ อิสราเอลและซาอุดิอาระเบียจะใช้การกระทำของทรัมป์ เป็นไฟเขียวสำหรับสิ่งใด ระหว่างการใช้กำลังทหารต่อต้านอิหร่าน – หรือ เปิดตัวเหตุการณ์จัดฉาก ที่จะเป็นการดึงเอาสหรัฐอเมริกาเข้าสู่สงคราม” McAdams กล่าว

เขาตั้งข้อสังเกตอีกว่า ผลกระทบที่สำคัญอื่น ๆ ของการถอนข้อตกลง คือ “การลดลงอย่างรุนแรง” ของชื่อเสียงของสหรัฐฯ ในฐานะประเทศที่ยึดถือสัญญาและข้อตกลงของตน McAdams กล่าวต่อว่า การที่สหรัฐฯถอนตัวออกจาก JCPOA คือ “อีกหนึ่งซีรีย์ของการทรยศโดยสหรัฐฯ ที่จะเป็นการย้อนกลับไปยังสิ่งที่พวกเขาเคยทำกับ Gaddafi, Saddam, Noriega และคนอื่น ๆ ”

“สหรัฐฯได้ปิดประตูสู่การสื่อสารกับอิหร่านทั้งหมดโดยการเคลื่อนไหวของทรัมป์ สิ่งนี้ทำให้สงครามเป็นประตูเดียวที่เปิดกว้าง” เขากล่าว “มันเป็นความโง่เขลา และการเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็น” ที่ทำให้กลุ่มอนุรักษ์นิยมใหม่ (neocons) ซึ่งรายล้อมทรัมป์อยู่ตื่นเต้น ขณะที่ชาวอเมริกันส่วนที่เหลือจะตกอยู่ในความเสี่ยง และไม่ปลอดภัย

ผู้บริหารระดับสูงของคลังสมอง (Think Tank) ยังกล่าวอีกว่า การเคลื่อนไหวของทรัมป์ เป็นการทำลายการหารือร่วมกับเปียงยางตามแผนที่ถูกเตรียมไว้

“เกาหลีเหนือจะกลายเป็นคนโง่เขลาที่สุด หากเชื่อถือ แม้เพียงคำเดียวจากข้อตกลงใด ๆ ก็ตามที่ได้ทำการเจรจาร่วมกับวอชิงตัน” เขากล่าว “คณะบริหารของทรัมป์ได้กล่าวหลายครั้งแล้วว่า ต้นแบบของการทำให้เกาหลีเหนือปราศจากนิวเคลีย์ คือ สิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศลิเบีย! การเคลื่อนไหวที่ดีที่สุดของคิม คือ การดำเนินการเจรจาทวิภาคีกับกรุงโซลต่อไป และหยุดยั้งสหรัฐฯจากบทบาทใดๆก็ตามภายในกระบวนการนี้”

ในวันที่ 1 พ.ค. นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู ประกาศว่า อิสราเอลได้รับเอกสารกระดาษ และเอกสารดิจิทัล 100,000 ฉบับ ซึ่งตามที่เขากล่าวอ้าง เป็นเอกสารที่พิสูจน์ว่า โครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านมีส่วนประกอบทางการทหารอย่างลับ ซึ่งมีชื่อรหัสว่า “Project Amad” แถลงการณ์นี้ มีขึ้น ท่ามกลางการอภิปรายระหว่างประเทศ เกี่ยวกับความจำเป็นในการกระชับข้อตกลงนิวเคลียร์

“สหภาพยุโรป (EU) ไม่สามารถโน้มน้าวให้ประธานาธิบดีทรัมป์ได้รับประโยชน์จากข้อตกลงดังกล่าว ดูเหมือน ประธานาธิบดีทรัมป์ต้องการยอมรับการกล่าวหาอย่างน่าสงสัย ของนายกรัฐมนตรีเนทันยาฮูของอิสราเอล เหนือบทสรุปของ บรรดาเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบอำนาจจริง สำหรับให้ทำการพิจารณาตรวจสอบว่า อิหร่านกำลังดำเนินการไปสู่จุดจบของข้อตกลงหรือไม่ “McAdams กล่าวเพิ่ม

Federica Mogherini หัวหน้าฝ่ายนโยบายต่างประเทศของสหภาพยุโรป กล่าวเมื่อวันอังคารว่า สหภาพยุโรปมุ่งมั่นที่จะรักษาข้อตกลงนี้ และหวังว่าประชาคมระหว่างประเทศอื่น ๆ จะยังคงทำหน้าที่ของตนในการยืนยันให้มีการดำเนินการต่อไป

ทรัมป์ได้วิพากษ์วิจารณ์ข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านอย่างต่อเนื่อง ว่าเป็นหนึ่งในข้อตกลงที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ขณะที่รัฐมนตรีต่างประเทศของเยอรมนี สหราชอาณาจักร และฝรั่งเศสได้ออกแถลงการณ์ร่วม ระบุว่า ประเทศของตนจะยังคงอยู่ใน JCPOA แม้ว่าสหรัฐฯจะถอนตัวก็ตาม

McAdams กล่าวว่า “การตัดสินใจของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่จะถอนตัวออกจากข้อตกลงของอิหร่านไม่ควรทำให้ใครแปลกใจเลย ความเป็นปรปักษ์ที่อธิบายไม่ได้ของเขาต่ออิหร่าน เป็นตำแหน่งนโยบายด้านต่างประเทศเดียวที่เขาให้ความสำคัญ” การนำเสนอของทรัมป์ ถูกเติมเต็มไปด้วยความเท็จ และการโป้ปดอย่างเปิดเผย ตัวอย่างเช่น ความคิดที่ว่าอิหร่านเป็นพันธมิตรกับอัลกออิดะห์ ซึ่งมันเป็นเรื่องน่าขำ ที่ ไม่มีใคร นอกเสียจากกลุ่มสุดโต่ง อนุรักษ์นิยมใหม่ (neocons) ที่จะชี้นำสิ่งนี้ ”

อย่างไรก็ดี หน่วยงาน พลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (The International Atomic Energy Agency) ได้ยืนยันการปฏิบัติตามข้อตกลง JCPOA ของกรุงเตหะรานกว่าหลายครั้ง

ทว่า “ทรัมป์กลับหลับหูหลับตาต่ออิหร่านอย่างอันตราย และเหมือนกับที่พวกเขาเคยทำกับจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช เมื่อ 15 ปีที่แล้ว กลุ่มอนุรักษ์นิยมใหม่ (neocons) ยิ่งกว่าสุขใจ ที่ได้เติมเต็มหัวของทรัมป์ด้วยการโกหก เพื่อช่วยให้การเคลื่อนไหวเป็นไปตามสงครามที่พวกเขาปราถนา” – เขากล่าว

ทรัมป์ประกาศว่า วอชิงตันจะไม่เป็นส่วนหนึ่งของแผนปฏิบัติการร่วมฉบับสมบูรณ์ (Joint Comprehensive Plan of Action – JCPOA) และสัญญาว่าจะชดเชยการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจในระดับสูงสุดต่ออิหร่านเพื่อตอบโต้ ไปยังการพัฒนาโครงการนิวเคลียร์ของเตหะราน

เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2015 สหภาพยุโรปและกลุ่มประเทศ P5 + 1 ได้แก่ จีน เยอรมณี ฝรั่งเศส รัสเซีย สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกาได้ลงนามใน JCPOA กับกรุงเตหะราน

ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าวระบุว่า สหประชาชาติ สหรัฐฯ และอียู จะยกเลิกการดำเนินมาตรการคว่ำบาตรที่ใช้ต่ออิหร่านก่อนหน้านี้ เพื่อแลกกับการที่กรุงเตหะรานตกลงจะจำกัดปริมาณการสะสมยูเรเนียมเสริมสมรรถนะ ซึ่งสามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ แต่ขณะเดียวกันก็ใช้ในอาวุธนิวเคลียร์ได้ด้วย เป็นเวลา 15 ปี และจำกัดจำนวนเครื่องหมุนเหวี่ยงที่ใช้ในการเสริมสมรรถนะยูเรเนียมเป็นเวลา 10 ปี นอกจากนี้ อิหร่านยังอนุมัติให้มีการตรวจสอบโดยทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ซึ่งมีหน้าที่เฝ้าสังเกตการณ์และพิสูจน์ยืนยันว่า อิหร่านปฏิบัติตามข้อตกลงนี้หรือไม่ เพื่อให้มั่นใจว่า อิหร่านดำเนินโครงการของตนไปโดยสันติ

Source: ronpaulinstitute.org