“สงครามศาสนา” – เครื่องมือใหม่ของยิวไซออนิสต์ในการยึดครองเยรูซาเล็ม

420

ระบอบยิวไซออนิสต์ยังคงดำเนินการก่อสงครามทุกรูปแบบ เพื่อต่อกรกับชาวปาเลสไตน์ ซึ่งล่าสุดได้เริ่มทำสงครามศาสนาในดินแดนที่ถูกยึดครอง โดยการเรียกเก็บภาษีเพิ่ม ในกิจการมัสยิดและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาของชนชาวมุสลิมและคริสเตียนในปาเลสไตน์

ประเด็นนี้ ทำให้ขบวนการอิสลามปาเลสไตน์ (ฮามาส) ออกมาประกาศ แถลงการณ์คัดค้าน ระบอบยิวไซออนิสต์ที่ได้เพิ่มภาษีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และข้อจำกัดต่างๆในการเข้าสู่สถานที่เหล่านี้ ทำให้ชาวปาเลสไตน์ไม่สามารถเข้าร่วมการปฏิบัติทางศาสนาในสถานที่เหล่านี้ได้

ทั้งนี้แถลงการณ์ของฮามาสกล่าวว่า :

“ระบอบยิวไซออนิสต์มีการกำหนดเป้าหมาย และการเผชิญหน้า ด้วยกระบวนการที่เสี่ยง และเป็นอันตรายต่อสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ โดยการจัดเก็บภาษีสถานที่ทางประวัติศาสตร์และศาสนาของกรุงเยรูซาเล็ม และทรัพย์สินทั้งหมดที่ได้มานี้ อันที่จริงแล้ว เป็นผลจากการกระทำของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ต่อกรณีเยรูซาเล็ม”

อันที่จริง ไม่ต้องสงสัยว่าการกระทำของรัฐบาลสหรัฐฯและระบอบยิวไซออนิสต์ในดินแดนที่ถูกยึดครองนั้นจะไม่สามารถบิดเบือนข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ของชาวปาเลสไตน์ได้ และจะไม่ให้ความชอบธรรมใดๆต่อระบอบการปกครองของยิวไซออนิสต์ที่มีเหนือปาเลสไตน์

โลกอิสลามและประชาชนทั่วไปมั่นใจและเชื่อมั่นว่ากรุงเยรูซาเลมใหญ่จะยังคงเป็นเมืองหลวงที่ถาวรและนิรันดร์ของดินแดนประวัติศาสตร์ของปาเลสไตน์ และเขตแดนปาเลสไตน์ทั้งหมด

เหล่าบรรดานักรบชาวปาเลสไตน์ มีความจงรักภักดี และดำรงการยืนหยัดต้านทาน พร้อมที่จะพลีเลือดของตัวเองในการกำหนดเส้นแดงนี้

ทั้งนี้ มาตรการต่อต้านศาสนาของระบอบยิวไซออนิสต์ต่อชาวปาเลสไตน์ได้กลายเป็นประเด็นที่รุนแรงมากขึ้น จนทำให้ชาวปาเลสไตน์ต้องทนทุกข์ทรมานกับการกดขี่ของพวกเขาอย่างเรื่อยมา

Yousuf al-Mahmoud โฆษกรัฐบาลปาเลสไตน์ในฝั่งตะวันตกกล่าวว่า

“การเก็บภาษีจากสถานที่อิบาดะฮ์ (นมัสการ) เช่นมัสยิดและโบสถ์เป็นเรื่องใหม่ อันเป็นการข่มขู่และยั่วยุ  เป็นการกำหนดเป้าหมาย ไปยังเมืองเยรูซาเล็ม ประเทศอาหรับและประเทศอิสลาม โดยเฉพาะเพื่อปลุกระดมชาวปาเลสไตน์และถือว่าพวกเขากำลังละเล่นและท้าทายสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ ”

การกำหนดเป้าหมายไปยังสถานที่ทางศาสนาและสถานที่อิบาดะฮ์(นมัสการ)คือการโจมตีอย่างชัดเจนต่อเอกสารและข้อตกลงระหว่างประเทศทั้งหมด ที่ให้การยอมรับในสิทธิเสรีภาพในการอิบาดะอ์(นมัสการ) และการเคารพภักดี และสนับสนุนให้แสดงความเคารพต่อสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่ทางศาสนา และนิกายในทุกแห่งและทุกสถานการณ์

ตั้งแต่เริ่มแรกของประวัติศาสตร์ ชาวปาเลสไตน์ได้อาศัยอยู่ในบ้านเกิดเมืองนอน และปฏิบัติตามหลักการอย่างเคร่งครัด พวกเขาอยู่ร่วมกันด้วยความรัก ความเป็นพี่น้องกัน การให้ความเคารพต่อผู้อื่น และการเคารพต่อศาสนาอื่นๆ

การปิดสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นการบั่นทอนความรู้สึกของชาวปาเลสไตน์ การกระทำนี้เป็นเรื่องอุกอาจ และชาวปาเลสไตน์จะไม่มีวันยอมรับมัน

Khaled Mashaal อดีตหัวหน้าสำนักงานการเมืองของขบวนการฮามาส ได้วิพากษ์วิจารณ์ตัวละครระดับภูมิภาคที่ร่วมมือกับแผนการ กำจัดประเด็นปาเลสไตน์ และเพิ่มการโจมตีต่อเยรูซาเล็ม ที่ถูกยึดครอง

Khaled Meshaal ในที่ประชุมกับสถาบันทางแพ่งของตุรกีซึ่งมี Nour Edin Nabati ผู้แทนจากรัฐสภาตุรกี กล่าวว่า “ถ้าไม่พันธมิตรของสหรัฐอเมริกาในภูมิภาคแล้ว  ประธานาธิบดีสหรัฐฯ Donald Trump ก็ไม่กล้าที่จะยอมรับกรุงเยรูซาเลมเป็น ” เมืองหลวงของอิสราเอล ”

กลุ่มบุคคลเหล่านี้ได้ละเลยหน้าที่ในสิทธิของปาเลสไตน์ และยอมมอบดินแดนดังกล่าวให้แก่อิสราเอล ซึ่งพวกเขาไม่ใช่ประชาชาติทั้งหมด แต่พวกเขาเป็นกลุ่มเล็ก ๆ และเป็นประชาชาติของพวกเราและพวกคุณ ”

การตัดสินใจของวอชิงตันในการย้ายสถานทูตสหรัฐฯไปยังเยรูซาเล็ม ในวันที่ 14 พฤษภาคมถือเป็นความต่อเนื่องของอาชญากรรมและกระตุ้นความรู้สึกของชาวปาเลสไตน์เนื่องในวันครบรอบ 14 ปีแห่งความหายนะ ในการยึดครองปาเลสไตน์ในปี 1948  อันเป็นการหวนระลึกถึงเหตุการณ์อันข่มขืนสำหรับประชาชาตินี้

Source: http://parstoday.com/fa/middle_east-i121853