แฉ 9/11: นักวิจัยยุโรป พิสูจน์ ตึก WTC ถูกถล่มเพราะระเบิด ไม่ใช่เพราะเครื่องบินชน!

14747

รายงานทางวิทยาศาสตร์ เผยแพร่โดย Europhysics News เกี่ยวกับเหตุการณ์บันลือโลก 9/11ได้ตั้งคำถามไปยัง คำอธิบายอย่างเป็นทางการโดยรัฐบาลสหรัฐฯ เบื้องหลังเหตุการณ์ล่มสลายของอาคารเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ทั้งสามแห่ง เมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2001 – ข้อสรุปนี้อาจทำให้ แม้แต่คนที่มีเหตุผลมากที่สุดจำเป็นต้องเปลี่ยนทัศนะคติ

รายงานระบุว่า:

มันมีความสำคัญที่ควรค่าแก่การพูดซ้ำอีกครั้ง ว่าเพลิงไหม้ ไม่ใช่บ่อเกิดของการล่มสลายของโครงสร้างเหล็ก ไม่ว่าจะก่อน หรือตั้งแต่เหตุการณ์ 11 กันยายน NIST [สถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งชาติสหรัฐฯ] รายงาน โดยพยายามที่จะสนับสนุนข้อสรุปที่ไม่น่าเชื่อถือว่าเป็นความจริง ซึ่งเป็นข้อสรุปที่ล้มเหลว ในการชวนเชื่อสถาปนิก วิศวกร และนักวิทยาศาสตร์ ในจำนวนที่มากขึ้น ขณะที่ความเป็นจริง หลักฐานกลับชี้ไปที่ข้อสรุปว่า ทั้งสามอาคารถูกทำลายโดยการรื้อถอนที่ถูกควบคุม (Controlled demolition) เมื่อพิจารณาถึงความหมายโดยนัย ซึ่งส่งผลกระทบในวงกว้างแล้ว มันเป็นความจำเป็นทางศีลธรรม ที่สมมติฐานนี้ ควรเป็นประเด็นของการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ และจะต้องตรวจสอบให้เป็นกลางอย่างจริงจัง โดยหน่วยงานที่รับผิดชอบ”

ชื่อรายงาน15 ปีต่อมา: ว่าด้วยหลักฟิซิกส์เกี่ยวกับการล่มสลายของอาคารสูง” (15 Years Later: On the Physics of High-Rise Building Collapses) การตรวจสอบกระทำโดย Steven Jones อดีตศาสตราจารย์กิตติคุณ ด้านวิศวกรรมโยธา ที่มหาวิทยาลัย McMaster University ในออนแทรีโอ ประเทศแคนาดาและเพื่อนร่วมงานจาก Canadian Society for Civil Engineering และ สถาบันวิศวกรรมแห่งประเทศแคนาดา; นาย Anthony Szamboti วิศวกรออกแบบเครื่องจักรกล; และ Ted Walter ผู้เขียนหนังสือ ที่ซึ่งบรรดาสถาปนิกและวิศวกร ได้ออกมาเปิดโปงเหตุการณ์ 9/11 ว่าด้วยข้อเท็จจริงนอกเหนือขอบเขตของข้อมูลที่ผิดพลาด: ภายใต้ชื่อ “วิทยาศาสตร์ว่าอย่างไร เกี่ยวกับการล่มสลายของอาคาร World Trade Center 1, 2 และ 7″ ( What Science Says About the Destruction of World Trade Center Buildings 1, 2 and 7)

ข้อสังเกตบางประการที่นักวิจัยนำเสนอ:

โดยทั่วไปแล้ว ไฟจะไม่มีความร้อนเพียงพอ และไม่สามารถอยู่ได้นานพอในพื้นที่หนึ่งๆ สำหรับการสร้างพลังงาน ที่จะเพียงพอต่อการเผาไหม้ โครงสร้างเหล็กขนาดใหญ่ไปถึงจุดที่มันสามารถถล่มลงมาได้

ตึกสูงส่วนมาก จะมีระบบดับเพลิง ซึ่งจะยิ่งช่วยป้องกันไม่ให้ไฟที่ปะทุขึ้น ปล่อยพลังงานเพียงพอต่อการเผาไหม้โครงสร้างเหล็กสำหรับก่อสร้างอาคารสมัยใหม่ จนกระทั่งสามารถทำให้ตึกพังทลายลงมา

เสาอาคารทั้งหมดเป็นแท่งเหล็ก H-Beam ขนาดมากกว่า 1 x 1 เมตรอย่างหนามาก ไม่มีทางที่เครื่องบินที่ทำจากแผ่นอลูมิเนียมบางๆ จะสามารถมาชนแล้วทำให้เสาเหล็กเหล่านี้ขาดได้เลย

นอกจากนี้ โครงสร้างอาคารต่างๆ ยังได้รับการปกป้องด้วยวัสดุป้องกันไฟ ซึ่งได้ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันไม่ให้อุณหภูมิไปถึงจุดที่จะก่อให้เกิดความเสียหาย ภายในระยะเวลาที่กำหนด

โครงเหล็กตึกสูงนี้ ได้รับการออกแบบให้มีระบบโครงสร้างที่ซับซ้อนมาก หมายความว่า หากเกิดปัญหาเฉพาะบางส่วน มันจะไม่ส่งผลทำให้เกิดการพังทลายอย่างไม่สมส่วนของโครงสร้างตึกทั้งหมด

รายงานฉบับใหม่ชี้ให้เห็นว่า “มีโครงเหล็กสำหรับการก่อสร้างตึกสูง นับไม่ถ้วน ที่ผ่านการถูกเผาไหม้ ขนาดใหญ่และยาวนาน โดยไม่ได้ส่งผลทำให้เกิดการยุบตัวลงของตัวอาคาร ไม่ว่าจะเพียงแค่บางส่วน หรือตัวอาคารทั้งหมด”

“อันที่จริงแล้ว ทั้งก่อนและตั้งแต่เหตุการณ์ 11 กันยายน เป็นต้นมา การเกิดไฟไหม้ มิอาจเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดการยุบตัวของโครงสร้างเหล็ก และเช่นเดียวกับเหตุการณ์ทางธรรมชาติอื่นๆ ยกเว้นเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่อุบัติขึ้น เมื่อปี ค.ศ. 1985 ณ กรุงเม็กซิโกซิตี้ ซึ่งส่งผลทำให้อาคารสำนักงานสูงถึง 21 ชั้น พังทลายลงมา ดังนี้ ปรากฏการณ์เพียงอย่างเดียว ที่สามารถยุบอาคารดังกล่าวลงได้อย่างสมบูรณ์ จะต้องกระทำผ่านวิธีที่เรียกว่า “การรื้อถอนที่ถูกควบคุม” (controlled demolition) ซึ่งวัตถุระเบิด หรืออุปกรณ์ทำลายล้างอื่น ๆ จะถูกนำมาใช้ เพื่อทำลายโครงสร้างอาคารลง โดยเจตนา”

รายงานยังระบุ ยืนยันถึงความสงสัยของนักวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับคำอธิบายอย่างเป็นทางการของรัฐบาล โดยการอ้างอิงถึงหัวหน้าวิศวกรโครงสร้างของอาคารดังกล่าว – John Skilling ได้ถูกสัมภาษณ์จาก Seattle Times เกี่ยวกับเหตุการณ์ทิ้งระเบิดของศูนย์การค้าเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ เมื่อ ปี ค.ศ. 1993 ซึ่งเขาแสดงความวิตกกังวล เกี่ยวกับการโจมตีโดยเครื่องบิน ที่อาจเกิดขึ้นจริง และได้ทำการวิเคราะห์ ที่พิสูจน์ว่า หอคอยสูงตระหง่านนี้จะจะทนต่อผลกระทบของเครื่องบินโบอิ้ง 707 ได้ ซึ่งเขากล่าวว่า:

“บทวิเคราะห์ของเรา ชี้ว่า ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดคงจะเป็นข้อเท็จจริงที่ว่า เชื้อเพลิงทั้งหมด (จากเครื่องบิน) อาจถูกทิ้งลงในตัวอาคาร มันอาจจะมีไฟไหม้อย่างน่าสยดสยอง ผู้คนจำนวนมากจะถูกสังหาร … แต่โครงสร้างอาคารจะยังคงอยู่ที่นั่น … อย่างไรก็ตาม ผมไม่ได้บอกว่า การใช้วัตถุระเบิด หรือวัตถุคล้ายระเบิดในขนาดเท่านั้น – อย่างถูกวิธี จะไม่สามารถสร้างความเสียหายได้ … ผมคงจะจินตนาการว่า หากคุณลองนำผู้เชี่ยวชาญชั้นแนวหน้าของงานประเภทนี้ และมอบหมายให้เขา ถล่มตึกเหล่านี้ลงให้ได้ด้วยการระเบิด ผมกล้าเดิมพันว่า เขาสามารถทำมันได้ “

นอกจากนั้น รายงานยังได้เขียนอีกว่า “การยุบตัวลงของตึก WTC ณ เวลา 17:20 เมื่อวันที่ 11 กันยายน เป็นเหตุการณ์ที่น่าทึ่ง เพราะมันเป็นตัวอย่างอธิบาย ทุกคุณสมบัติที่โดดเด่นของของการระเบิด: อาคารร่วงหล่นลงมา ในแนวดิ่ง ในช่วง2.25 วินาทีแรกของการถล่ม ในระยะทางกว่า 32 เมตร หรือแปดชั้นอาคาร การเปลี่ยนแปลงจากภาวะหยุดนิ่ง ไปสู่การถล่มในแนวดิ่งเป็นไปอย่างฉับพลัน ซึ่งเกิดขึ้นภายในระยะเวลาประมาณ หนึ่งวินาทีครึ่งเท่านั้น มันถล่มตรงลงมาอย่างสมดุล โครงเหล็กของตึกเกือบทั้งหมด ถูกทำให้แยกออกจากกัน ขณะที่ตึกคอนกรีตได้พังทลายจนกลายเป็นเพียงอนุภาคขนาดเล็ก ในท้ายที่สุด การล่มสลายเป็นไปอย่างรวดเร็วมาก ทุกสิ่งอุบัติขึ้นภายใน 7 วินาที ซึ่งในความเป็นจริง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่น่าจะมีความเป็นไปได้เลย ดังนั้น เมื่อคำนึงถึงลักษณะตามธรรมชาติของการล่มสลาย การตรวจสอบใดๆก็ตามที่ยึดมั่นในวิธีการทางวิทยาศาสตร์ จึงควรจะต้องทำการพิจารณา สมมติฐานที่ว่า การถล่มลงมาของตึกสูงตระหง่านนี้ เกิดขึ้นได้ด้วยวิธี “การรื้อถอนที่ถูกควบคุม” (Controlled demolition) ถ้าไม่เช่นนั้น ก็ควรเริ่มต้นด้วยสมมุติฐานนี้ ทว่า NIST (เช่นเดียวกับ สำนักจัดการภาวะฉุกเฉินกลาง ซึ่งดำเนินการศึกษาเบื้องต้นก่อนที่จะมีการตรวจสอบโดย NIST) กลับเริ่มต้นการสืบสวนด้วยข้อสรุปที่ว่า การล่มสลายมีเหตุเกิดจากไฟไหม้ ”

จนถึงวันนี้ ยังคงมีหลักฐานที่ไม่ได้ถูกอธิบายอีกมากมาย ซึ่งสนับสนุนทฤษฎี การรื้อถอนที่ถูกควบคุม นี้ เพื่อชี้แจงถึงสาเหตุที่แท้จริง เบื้องหลังเหตุการณ์สลดใจที่เกิดขึ้น เมื่อ 15 ปีก่อน โดยไม่จำเป็นต้องพูดถึงข้อเท็จจริงที่ว่า สื่อมวลชนยังได้รายงานถึงการล่มสลายของอาคาร WTC 7 ก่อนที่มันจะยุบตัวลงอีกด้วยซ้ำ!

Source: awarenessact.com